เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นานกับแอปพลิเคชัน Wallet@Post หรือ กระเป๋าเงินไปรษณีย์ โดยบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ซึ่งเป็นแอปให้บริการทางด้านการเงิน ที่จะเข้ามาช่วยให้การทำธุรกรรมบนมือถือของเราให้ง่าย และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
แต่ว่าข้อดีของแอป Wallet@Post จะมีอะไรบ้าง … ไปดูสรุปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า
1. จ่ายค่าพัสดุได้ง่าย ด้วยการเก็บเงินปลายทาง
สำหรับนักช้อปออนไลน์ที่ชอบซื้อของ แต่ไม่อยากจ่ายเงินก่อนได้รับของ … แอปนี้สามารถช่วยให้เราจ่ายเงินผ่าน wallet หลังจากได้รับของจากไปรษณีย์ได้ แต่ถ้าเกิดมีเงินใน wallet ไม่พอ เราสามารถจ่ายเงินสด หรือใช้ QR Payment จากแอปของธนาคารได้ตามปกติ
2.รับโอนค่าเรียกเก็บเงินปลายทาง (Cash On Delivery) ได้รวดเร็ว
เมื่อลูกค้าต้องจ่ายค่าส่งพัสดุ คนขายก็ต้องรับโอนเงินที่เรียกเก็บปลายทางได้เช่นกัน ซึ่งเพียง 2 วัน เงินก็จะถูกโอนเข้า Wallet และเมื่อผู้ค้าคนไหนสนใจอยากใช้บริการเรียกเก็บเงินปลายทางกับไปรษณีย์ไทย ก็สามารถทำได้ ดังนี้
1.) โหลดแอปพลิเคชั่น พร้อมลงทะเบียนเข้าใช้งาน
ได้ทั้งในระบบ Andriod และ ในระบบ iOS
2.) ก่อนนำส่งพัสดุไปรษณีย์ ให้แจ้งพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่า “ใช้บริการเรียกเก็บเงินปลายทาง”
ซึ่งพนักงานจะให้สติ้กเกอร์ COD สำหรับติดที่หน้ากล่องพัสดุกับเรา จากนั้นเราเพียงระบุเบอร์มือถือที่เป็นเบอร์ที่ใช้ในการลงทะเบียน wallet และจำนวนเงินที่ต้องการให้ไปรษณีย์เรียกเก็บกับผู้รับปลายทาง ที่จะให้โอนเงินเข้า wallet นั้นๆ
3.) จ่าหน้ากล่องพัสดุตามปกติ พร้อมทั้งระบุเบอร์โทรของผู้รับที่จ่าหน้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่โทรติดต่อนัดหมายกับผู้รับก่อนไปส่งพัสดุ และเรียกเก็บเงิน
4.) พัสดุจะถูกจัดส่งแบบด่วนพิเศษ หรือ EMS ไปถึงผู้รับในวันถัดไป
5.) จะมี SMS แจ้งเตือนมายังผู้ส่ง และผู้รับทันที หลังจากเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์เก็บเงินเรียบร้อย
6.) ยอดเรียกเก็บเงินจะถูกหักค่าธรรมเนียม 3% และโอนเข้า Wallet ภายใน 2 วัน
โดยพิเศษ !!! ในช่วงแรก (ตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2562) ทางไปรษณีย์ไทยจะไม่คิดค่าธรรมเนียม 3%
ข้อดีของการบริการรูปแบบนี้ก็คือ
นอกจากจะรับเงินที่ขายของผ่านระบบได้ ยังสามารถโอนเงินเหล่านั้นเข้าบัญชีธนาคาร และใช้ชำระค่าส่งไปรษณีย์ได้อีกด้วย เรียกรวมง่ายๆ ก็คือจะช่วยประหยัดเวลา และเพิ่มความสะดวกสบายในการรับเงินค่าสินค้าของผู้ส่งของมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
3.จะ “โอน-ถอน-จ่าย” ก็สามารถทำได้
โอนเงิน : สามารถเลือกใช้งานได้ 3 รูปแบบ คือ
1) โอนระหว่าง Wallet@POST กับ Wallet@POST
เป็นการโอนเงินระหว่างผู้ที่มีบัญชี Wallet@POST ทั้งคู่ โดยเป็นการโอนเงินจาก “บัญชีผู้ส่ง” ไปยัง “ผู้รับเงิน” โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมในการทำรายการ/ครั้ง
2) โอนระหว่าง Wallet@POST กับ ธนาณัติออนไลน์
เป็นการโอนเงินจากบัญชีผู้ส่งเงิน ไปยัง ผู้รับเงินที่ไม่มีบัญชี Wallet@POST ผ่านบริการธนาณัติออนไลน์แบบไม่ระบุปลายทาง ซึ่งผู้รับสามารถนำ SMS ที่ได้ไปรับเงินได้ทุกที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ โดยมีค่าธรรมเนียมในการโอนเงินจำนวน 20 บาท/ครั้ง
ซึ่งการโอนผ่าน Wallet@Post ในรูปแบบนี้ถือเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่ต้องการส่งเงินด่วนแบบทันใจถึงผู้รับปลายทางทันที โดยคนโอนเงินไม่จำเป็นต้องมีบัญชีธนาคารก็สะดวก คนรับก็ได้รับเงินแบบสบาย
3) โอนระหว่าง Wallet@Post กับ บัญชีธนาคาร
เป็นการโอนเงินจากผู้ที่มีบัญชี Wallet@Post ไปยัง บัญชีธนาคาร โดยเสียค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน 20 บาท/ครั้ง ยกเว้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ไม่เสียค่าธรรมเนียม ทั้งนี้เงินจะเข้าบัญชีภายใน 1-2 วันทำการหลังจากทำรายการผ่านแอปเรียบร้อยแล้ว
ถอนเงิน :
สามารถถอนเงินในบัญชีผ่านบริการธนาณัติออนไลน์แบบไม่ระบุปลายทางได้ด้วยวิธีการใส่ “ชื่อเจ้าของบัญชี” เป็น “ผู้รับเงิน” และระบุ “จำนวนเงินที่ต้องการถอน” โดยต้องไม่ให้เกินยอดเงินคงเหลือในบัญชี จากนั้นก็สามารถไปติดต่อขอรับเงินได้ที่ทำการไปรษณีย์ สาขาที่มีบริการจ่ายธนาณัติออนไลน์ได้เลย
จ่ายเงิน :
สามารถชำระค่าสินค้า บริการของไปรษณีย์ หรือบริการอื่นๆ ตามจุดชำระเงินของที่ทำการไปรษณีย์ ซึ่งในอนาคตทางไปรษณีย์ไทยก็จะพัฒนา และจะเปิดบริการที่รองรับการใช้จ่ายผ่านแอป Wallet@Post ได้ตามห้างสรรพสินค้า, รถไฟฟ้า, ร้านค้า และศูนย์อาหารต่างๆ ให้เพิ่มมากขึ้น
4.ใช้งานง่าย เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส
เริ่มต้นด้วยการโหลดแอปพลิเคชั่น Wallet@POST ผ่านระบบ Play Store และ App Store จากนั้นลงทะเบียนเพื่อสมัครสมาชิก แล้วทำตามขั้นตอนจากหน้าแอป ไม่ว่าจะเป็น การระบุเบอร์โทรศัพท์, กรอกรหัส OTP เพื่อยืนยันตัวตน, กรอกข้อมูลส่วนตัว และตั้งค่ารหัสผ่านสำหรับการเข้าใช้งาน
และหากใครมีข้อสงสัย … สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ THP Contact Center 1545 และเว็บไซต์ www.thailandpost.co.th ได้เลยค่ะ