รีวิว iPad Pro 12.9″ (2018) ผ่านไป 3 เดือนกับการใช้เป็นเครื่องหลัก จะเป็นอย่างไรบ้างนะ?

ผ่านมา 4 ปีแล้วนับจากวันแรกที่ Apple เปิดตัว iPad Pro รุ่นแรกเปิดตัวในปี 2015 จนปัจจุบันนี้ iPad ก็กลายเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ของคนที่ต้องการความเบาและพกพาได้สะดวกแบบแท็บเล็ตแต่ก็ต้องทำงานได้ดีไม่แพ้โน้ตบุ๊กเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกอุปกรณ์ก็มีข้อดีข้อสังเกตแตกต่างกันทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่ iPad Pro (2018) รุ่นนี้ที่เฟื่องเลือกมาใช้แทน MacBook Pro ปี 2015 ก็มีจุดที่เฟื่องชอบและต้องตั้งข้อสังเกตกับแท็บเล็ตเครื่องนี้จาก Apple เหมือนกันค่ะ

โดยบทความนี้เฟื่องจะพูดถึงประสบการณ์การใช้งานหลังจากเฟื่องใช้เวลาอยู่กับเขามาร่วมสามเดือน นับตั้งแต่ที่มีคลิปแกะกล่องขึ้นบน YouTube ไปก่อนหน้านี้ โดยจะมีเรื่องอะไรที่เฟื่องชอบและมีอะไรเป็นจุดสังเกตของการใช้งานที่เพื่อน ๆ ควรคิดถึงบ้างก่อนจะซื้อ iPad รุ่นนี้มาใช้ เรามาดูไปพร้อม ๆ กันเลย!

อุปกรณ์ภายในกล่อง

Credits: https://apple.co/2Jji1re

ในกล่องของ iPad Pro (2018) จะมีอุปกรณ์พื้นฐานนอกจากตัวเครื่องก็จะมีสายชาร์จ USB-C หนึ่งเส้นและอะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C 18 วัตต์ อีกหนึ่งชิ้น โดยจะเป็นอุปกรณ์พื้นฐานเท่านั้น ส่วนใครที่ต้องการใช้ Apple Pencil หรือ Smart Keyboard Folio ก็ต้องซื้อเพิ่มในภายหลังแทน

ส่วนข้อดีที่เฟื่องไปเช็คเพิ่มเติมมา คืออะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C จะใช้เป็นอะแดปเตอร์ Fast Charging สำหรับ iPhone Xs Series ได้ด้วย แต่ต้องซื้อสาย USB-C เป็น Lightning มาเพิ่มเพื่อใช้ฟีเจอร์นี้ เพราะทาง Apple ไม่ได้แถมสายดังกล่าวมาให้ในชุดอุปกรณ์พื้นฐานของ iPhone Xs Series ซึ่งส่วนนี้เพื่อน ๆ ต้องพิจารณาเพิ่มเติมว่าเราต้องการใช้งานฟีเจอร์นี้มากน้อยแค่ไหนด้วยค่ะ

ตัวเครื่อง, พอร์ตและการเชื่อมต่อ

ตัวเครื่องจะใช้ดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจาก iPhone รุ่นเก่า เช่น iPhone 5 ที่ยังมีขอบเป็นเหลี่ยมมาเป็นดีไซน์พื้นฐาน มีให้เลือก 2 ขนาดด้วยกันคือ 11″ และ 12.9″ เหมือนกับรุ่นที่แล้ว ซึ่งรุ่น 10.5″ ได้เปลี่ยนเป็นขนาด 11″ แทน ทำให้ขนาดตัวเครื่องใกล้เคียงเดิมแต่ได้หน้าจอที่กว้างขึ้นเพราะหน้าจอของเขาจะเปลี่ยน Touch ID หรือที่สแกนลายนิ้วมือเป็นระบบสแกนใบหน้า Face ID ที่ใช้งานใน iPhone รุ่นใหม่ ๆ แทน

ด้านหลังของตัวเครื่องจะเป็นกล้องหลัก 1 ตัวพร้อมกับไฟแฟลชที่อยู่ด้านใต้ตัวกล้อง ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นพอร์ตเชื่อมต่อกับ Smart Keyboard Folio อีกหนึ่งจุด

ในส่วนของขอบซ้ายของตัวเครื่องจะไม่ได้ติดตั้งพอร์ตอะไรนอกจากเจาะช่องไว้หนึ่งช่องค่ะ เพราะส่วนนี้ของเขาจะกลายเป็นฝั่งที่ติดกับตัว Smart Keyboard Folio ทำให้ใช้งานอะไรมากไม่ได้

ในขณะที่ฝั่งขวามือนั้นจะมีทั้งปุ่มเพิ่มลดเสียง, จุดเชื่อมต่อ Apple Pencil รุ่นที่สองและช่องสำหรับใส่ nano-Sim card (หากเป็นรุ่น Wi-Fi+Cellular) และกลายเป็นขอบบนของตัวเครื่องเมื่อกางตัว iPad Pro มาใช้พิมพ์งานค่ะ

ส่วนด้านบนของตัวเครื่องฝั่งที่ฝังกล้องหน้าเอาไว้จะมีลำโพงและปุ่ม Power ติดตั้งไว้ที่ฝั่งขวามือ

ในขณะที่ด้านล่างจะเป็นลำโพงอีกสองตัวและมี USB-C Port ติดตั้งเอาไว้ที่ตรงกลางเครื่องสำหรับใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกชิ้นอื่นได้ แต่สังเกตว่าตัวพอร์ตหูฟัง 3.5″ ที่เคยมีในรุ่นก่อนหายไปแล้ว โดยหน้าที่เชื่อมต่อพอร์ตภายนอกทั้งหมด Apple ได้เปลี่ยนให้เชื่อมต่อผ่านสาย USB-C แทน ซึ่งข้อดีก็คือเรื่องของดีไซน์เครื่องจะดูเรียบหรูมากยิ่งขึ้นและการถ่ายโอนไฟล์ผ่านทาง USB-C เองก็ทำได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

ส่วนตัวเฟื่องเห็นว่านี่ก็เป็นจุดดีข้อหนึ่งของ iPad Pro รุ่นนี้เช่นกันเพราะทำให้สายต่าง ๆ ไม่มากจนพะรุงพะรังเกินไปและเปลี่ยนไปเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายได้อย่างเต็มที่แทน แต่กลับกันสำหรับใครที่ต้องใช้พอร์ตต่าง ๆ สำหรับทำงานอยู่บ่อย ๆ ก็ดูจะไม่สะดวกนัก เพราะต้องเชื่อมผ่านตัวแปลงร่วมแทน นอกจากนั้นช่องหูฟัง 3.5″ ที่หายไปเองก็ทำให้หลาย ๆ คนที่ชอบฟังเพลงไปทำงานไปก็ต้องเชื่อมต่อผ่านพอร์ตแปลงหรือไม่ก็ต้องใช้งานเป็นหูฟังไร้สายไปโดยปริยาย

ตอนนี้ตัว iPad Pro ของเฟื่องก็เริ่มงอแล้วแม้จะใช้ระวังแล้วก็ตามค่ะ …

ในด้านของดีไซน์แล้ว ถ้าใครชื่นชอบรูปแบบดีไซน์คลาสสิคอย่างที่เคยใช้งานมาตั้งแต่สมัย iPhone 5 ก็น่าจะถูกใจไม่น้อย เพราะ Apple นำดีไซน์แบบเก่ากลับมาใช้งานกับอุปกรณ์รุ่นใหม่แล้ว แต่สำหรับความแข็งแรงอาจจะเป็นปัญหาหลักในตอนนี้ เพราะ iPad Pro ของเฟื่องก็เริ่มงอเล็กน้อยแล้วแม้จะใช้ระวังมาก ๆ ก็ตาม ดังนั้นนี่จึงเป็นปัญหาหนึ่งที่ต้องทำใจรับโดยช่วยไม่ได้นั่นเอง

อุปกรณ์เสริม

นอกจากชุดสายชาร์จที่มาพร้อมกับตัวเครื่องแล้ว iPad Pro (2018) จะใช้งาน Apple Pencil รุ่นที่ 2 กับ Smart Keyboard Folio ได้ด้วยเพื่อให้ใช้งานได้ใกล้เคียงคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กที่สุด และทำให้บางงานที่ต้องใช้ปากกาในการวาดเขียนหรือเซ็นก็ทดแทนได้ด้วย Apple Pencil เข้ามาเสริมเพื่อให้ความสะดวกได้ตามที่ Apple ตั้งใจเอาไว้

นอกจากนี้ถึงเฟื่องจะติดฟิล์มกันรอยบนหน้าจอ iPad Pro ไว้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีปัญหากับการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil นะคะ ดังนั้นติดฟิล์มกันรอยไว้ได้เลยไม่ต้องห่วงว่าเขาจะตีกัน

สิ่งที่ต้องใส่ใจอย่างที่หนึ่งเลย คืออุปกรณ์ของ iPad Pro (2018) จะเป็นแตกต่างจาก iPad ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Apple Pencil รุ่นที่ 2 หรือแม้แต่ Smart Keyboard Folio ของ iPad Pro (2018) ที่เอาไปใช้กับ iPad รุ่นอื่นไม่ได้เลยเพราะตัวเชื่อมต่อจะเป็นแบบพิเศษและติดอยู่ที่คนละจุดกับ iPad Pro รุ่นที่แล้ว ทำให้อุปกรณ์เสริมถูกจำกัดอยู่ที่รุ่นนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นถ้าใครคิดจะเปลี่ยนใจจาก iPad Pro ไปหารุ่นอื่นก็อาจจะต้องบอกลากอุปกรณ์เสริมไปด้วย

ส่วนตัวแปลงพอร์ต USB-C เป็นพอร์ตอื่น ๆ นั้น ทาง Apple ยังไม่ได้ผลิตออกมาอย่างเป็นทางการ นอกจาก USB-C เป็น HDMI ที่ผลิตโดย Belkin นั้น ก็ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมจากผู้ผลิตรายอื่น นั่นหมายความว่าถ้าเพื่อน ๆ ต้องการเอา SD Card หรืออุปกรณ์อื่น ๆ มาเชื่อมต่อเข้ากับตัว iPad Pro ก็ต้องผ่านพอร์ตแปลงอีกชั้นหนึ่ง ถ้าไม่ได้ใช้บ่อย ๆ ก็ไม่น่าเป็นปัญหานัก แต่ถ้าใครใช้งานเป็นประจำคงจะไม่สนุกแน่ค่ะ

การใช้งานจริง

กว่าสามเดือนที่ผ่านมาของเฟื่องกับ iPad Pro (2018) เนี่ย ต้องบอกว่ามีหลายเรื่องที่เฟื่องชอบเขาแต่ก็ยังติดใจอยู่อย่างที่พูดอยู่เป็นระยะ ๆ ในบทความนี้นะคะ ซึ่งจากมุมของคนที่ย้ายจาก MacBook Pro 2015 มาใช้งานเป็น iPad Pro (2018) แล้วรู้สึกชอบตัว iPad เนี่ยก็มี ในขณะที่บางเรื่องก็ต้องปรับตัวพอสมควร โดยเฟื่องจะแยกพูดเป็นหัวข้อสิ่งที่เฟื่องฟินและไม่ฟินนะคะ

เรื่องนี้ฟินต้องขยาย!

  • น้ำหนักเครื่องเบาลง พกได้บ่อยขึ้น – เป็นจุดเด่นของ iPad Pro จริง เพราะตัวเครื่องของเขาน้ำหนักไม่ถึงกิโลกรัมจริง แต่ย้ำว่าเฉพาะตัวเครื่องเท่านั้นนะคะ เพราะเมื่อนำมาประกอบเข้ากับ Smart Keyboard Folio แล้ว ก็ทำให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและถนอมตัวเครื่องจริง แต่ตัวเครื่องของเขาก็มีน้ำหนักขึ้นมาอย่างมีนัยยะเช่นกัน
  • หน้าจอสวย – Liquid Retina ถึงหลาย ๆ คนจะเห็นว่าหน้าจอเป็นแค่ LCD แล้วจะดีไหม? อันนี้เฟื่องยืนยันว่าหน้าจอ Retina ของ Apple เขาไว้ใจได้จริง สีดีจอสวยจริงจนเฟื่องพูดเลยว่า “ฟิน” ค่ะ อีกอย่างคือเฟื่องเองก็ติดฟิล์มกันรอยหน้าจอให้ iPad Pro ของเฟื่องด้วยและไม่เจอปัญหาระหว่างการใช้งานจอทัชสกรีนหรือตอนใช้ Apple Pencil นะคะ
  • ลำโพงเสียงดัง! – อันนี้ยกอานิสงค์ให้กับลำโพง 4 ตัวที่ติดตั้งไว้ที่ทั้งสองฝั่งของตัวเครื่องแล้วให้เสียงสเตอริโอที่ดังชัดเจนดีมาก หลังจากทำงานแล้วสลับมาดูหนังก็ฟินจริงไรจริง!

เรื่องนี้เกือบจะฟินแต่ก็ไม่สุดนะ

  • Apple Pencil ที่เฟื่องเอามาใช้เนี่ย เฟื่องใช้สำหรับร่างไอเดียและจดโน้ตบ่อยจริง ใช้งานดีและให้สัมผัสการเขียนไม่แพ้ดินสอปากกาจริง ๆ แต่ยอมรับว่ายังหาแอปพลิเคชั่นที่ใช้ประโยชน์จากตัว Apple Pencil ได้ไม่สุดเท่าไหร่ จึงยังไม่ได้เปลี่ยนแอปฯ จดบันทึกและร่างไอเดียจากแอปฯ Notes ไปเป็นแอปฯ อื่นค่ะ อันนี้อาจจะต้องใช้เวลาหาข้อมูลเพิ่มอีกสักหน่อยนะคะ
เป็นคีย์บอร์ดที่กันน้ำนะคะ แต่ไม่มีไฟใต้ปุ่มคีย์บอร์ดเลยพิมพ์งานในที่แสงน้อยไม่สะดวกเท่าไหร่
  • Smart Keyboard Folio เนี่ย เฟื่องยังครึ่งใจอยู่หน่อย ๆ เพราะตัวเขาเนี่ยมีขนาดเล็ก เลยพอพิมพ์ได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เท่าคีย์บอร์ดใหญ่ (Full Size Keyboard) แบบที่เราคุ้นเคยค่ะ นอกจากนี้ปุ่มสั่งการหรือปุ่ม F1-F12 ที่เราคุ้นเคยใน MacBook Pro ก็หายไปจนต้องเรียนรู้วิธีกันใหม่อีก นอกจากนี้การที่คีย์บอร์ดบางจนเป็นปกเครื่องได้เป็นเรื่องที่ดีแต่ก็ไม่มีแสงไฟใต้คีย์บอร์ดติดตั้งมาให้เลยกลายเป็นส่วนที่ไม่ฟินบ้าง เมื่อต้องตอบอีเมล์และพิมพ์งานในที่แสงน้อยเช่นในรถเป็นต้น
  • เรื่องของน้ำหนักตัว iPad Pro ที่เบาจริง ๆ นั้นเป็นทั้งข้อดีและข้อพิจารณาเช่นกันเพราะตอนวางบนตักเพื่อพิมพ์งาน ไม่ว่าจะเป็นที่โซฟาในบ้านหรือบนรถก็ต้องเกร็งตักขึ้นมาเพื่อให้เขาทรงตัวได้อยู่ ไม่เช่นนั้นก็จะเสียสมดุลย์ไป

เรื่องนี้ไม่ฟินเท่าไหร่ อยากให้พิจารณาก่อนซื้อค่ะ

  • เพราะการออกแบบที่เน้นให้ iPad ใช้งานนิ้วเพื่อควบคุมตัวเครื่องเป็นหลักนั้นเป็นทั้งข้อดีและจุดที่ไม่ฟินได้เช่นกัน เพราะตอนที่เฟื่องนั่งโต๊ะในออฟฟิศก็อยากจะใช้งานเม้าส์บ้าง แต่ระบบ iOS ไม่รองรับก็เลยไม่ฟิน เพราะเมื่อเทียบกับฝั่งของ Microsoft Surface หรือจะเป็นแท็บเล็ต Android เองก็รองรับกันหมดแล้ว นี่จึงเป็นจุดแรกที่เฟื่องต้องหยิบมาพูดถึงด้วย
  • พอร์ตมีแค่ USB-C เท่านั้นเลยทำให้เชื่อมต่อติดขัดอยู่บ้าง แต่จะเป็นบ่อย ๆ ก็ตอนถ่ายโอนไฟล์ภาพจากกล้องที่ไม่มีพอร์ต USB-C จนต้องผ่านทางตัวพอร์ตแปลงแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ 1 ช่องจนถึงแบบ Hub รวมทั้งการรองรับการจัดการไฟล์กับอุปกรณ์แบบต่าง ๆ ก็ไม่กว้างขวางเท่าไหร่ ดังนั้นจุดนี้ต้องตัดสินใจให้ดีถ้าเพื่อน ๆ ต้องจัดการกับไฟล์ปริมาณมากอยู่บ่อยเสมอ iPad Pro ก็คงจะไม่ตอบโจทย์การทำงานเท่าไหร่
  • บางเว็บฯ ยังแสดงผลเป็นแบบ Mobile Site ไม่เป็นแบบ Desktop site ทำให้ใช้งานได้ไม่เต็มที่ ตัวอย่างที่เฟื่องเจอกับตัวเลย คือตอนที่เฟื่องต้องการขอรายการเดินบัญชีธนาคาร (Statement) คือตัวเว็บไซต์เขาจะแสดงผลเป็นแบบ Mobile Site อยู่ รวมทั้งฟ้อนต์ตัวอักษรก็ยังมาไม่ครบอีกด้วย
  • การแสดงผลหน้าจอเสริมยังเป็นอัตราส่วน 4:3 ทำให้เวลาที่เราเอามาต่อกับหน้าจอ Wide screen เช่นหน้าจอทีวีหรือจอคอมพิวเตอร์ผ่านทางสาย HDMI นั้นทำได้ไม่เต็มจอเหมือนกับที่ MacBook Pro หรือ Microsoft Surface ทำได้ นอกจากนี้ถ้าต้องการให้ภาพคมชัด สาย HDMI ที่เอามาเชื่อมต่อก็ต้องมีคุณภาพสูงเพื่อให้ส่งต่อสัญญานภาพได้ดีอีกด้วย ไม่อย่างนั้นภาพก็จะไม่คมเท่าที่ควร

สรุปส่งท้าย… ชอบไม่ชอบหรือมีทางเลือกอื่น?

ยอมรับว่า iPad Pro (2018) เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ทำงานที่ใช้งานได้สะดวกจริง ซึ่งน้ำหนักตัวที่เบาก็ทำให้เฟื่องสามารถหยิบเขามาใช้งานได้บ่อยขึ้นกว่าตอนที่ใช้งาน MacBook Pro 2015 แต่ก็คิดว่ายังใช้ไม่คุ้มเท่ากับค่าตัวของเขาเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายก็ยังอยากต่อยอดเขาให้ทำอะไรได้มากขึ้นอยู่ดี เช่นการต่อหน้าจอเสริมเพื่อให้ใช้งานได้ไม่แพ้กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอะไรแบบนี้เป็นต้น

ส่วนตัวเฟื่องคิดว่าจะเบนเข็มไปที่การหาแอปฯ มาเสริมการทำงานเพื่อช่วยให้ iPad Pro ทำงานได้ใกล้เคียง PC มากขึ้น และจะพยายามหาทางให้เขาใช้เม้าส์ได้ด้วยค่ะ! (ฮา) ถ้าให้หยิบมาใช้งานแทนโน้ตบุ๊กแบบ 100% ไปเลย เฟื่องคิดว่าเขายังทำได้ไม่สุดเท่าไหร่ และเฟื่องคิดว่าเขาดูเป็นตัวเสริมจากโน้ตบุ๊กมากกว่า แบบว่าเราทำงานเสร็จในโน้ตบุ๊กเสร็จแล้วเอา iPad Pro ออกไปนำเสนองานให้ลูกค้าหรือใช้ทำงานเอกสารทั่ว ๆ ไป ร่วมทั้งใช้ตอนนั่งทำงานในร้านกาแฟสวย ๆ มากกว่าค่ะ

ถ้าอย่างนั้นมีทางเลือกอะไรให้อีกไหม?

สุดท้ายถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วเห็นว่าเฟื่องมีความไม่ฟินอยู่ แล้วเรามีอะไรเป็นทางเลือกเสริมบ้างนะ? อันนี้ถ้าปัญหาที่เจอเมื่อใช้ iPad ของเฟื่องเป็นการที่คีย์บอร์ดไม่มีแสงไฟ, ใช้งานเว็บไซต์แบบ Desktop Site ไม่ได้ แล้วจะมีอะไรเป็นทางเลือกสำรองบ้าง?

กรณีกลับไปใช้ MacBook Pro เหมือเดิม – ถือว่าได้กลับไปใช้งานโน้ตบุ๊กที่เฟื่องชอบที่สุดต่อไป ส่วนตัวแล้วเฟื่องเห็นว่าเขามีข้อดีหลายข้อเลย แต่ต้องหักคะแนนเรื่องน้ำหนักที่สาวร่างบางแบบเฟื่องไม่ปลื้มเอาเสียเลย ส่วนถ้าเพื่อน ๆ คนไหนบอกว่า “อย่างนั้นพี่เฟื่องไม่เอาเป็น MacBook 12 นิ้ว ล่ะครับ/คะ?” รุ่นนั้นก็น่าสนใจ แต่เฟื่องติดที่หน้าจอของเขายังไม่เป็น Touch screen เป็นสิ่งแรก แล้วถ้าอัปเกรดไปใช้รุ่น Touch Bar ก็ไม่ใช่คำตอบของเฟื่องเหมือนกัน เพราะเฟื่องต้องการหน้าจอแบบสัมผัสเพราะใช้งานได้สะดวก ไม่ใช่แถบสัมผัสด้านบนอย่างที่ Apple ออกแบบมาค่ะ

Credits: http://bit.ly/2LtuyLv

ถ้าไปสาย Microsoft แล้วซื้อ Surface เลยล่ะ? – จริง ๆ แล้วความคุ้นเคยและการใช้งานได้ง่ายในแบบของ Microsoft Windows เนี่ย ก็เป็นอะไรที่เฟื่องมีใจให้อยู่บ่อย ๆ นะคะ เพราะเราสามารถใช้ความคุ้นเคยที่มีมาได้เลยแถมยังต่อหน้าจอเสริมได้ง่ายจริงอะไรจริง ไหนจะน้ำหนักก็เบาไล่เลี่ยกับ iPad Pro ที่ใช้อยู่อีก!! แต่ถึงจะดีขนาดไหน Microsoft Surface ก็แพ้เรื่องขนาดจอ เพราะ Microsoft Surface Pro มีขนาดแค่ 11.5″ เท่านั้นและยิ่ง Surface Go ก็มีแต่ขนาด 10.5″ เท่านั้น เขาเลยเป็นคำตอบที่ไม่ค่อยตรงใจเฟื่องเท่าไหร่

แถมอีกนิดว่าถ้าเป็น Microsoft Surface Laptop 2 หรือ Surface Book 2 ก็เป็นห่วงเรื่องบริการหลังการขายกับระบบระบายความร้อนอยู่เหมือนกัน เพราะเท่าที่ค้นข้อมูลดูแล้วเขายังเจอเรื่องความร้อนมากวนใจอยู่เป็นระยะ ๆ อีกด้วย ดังนั้นต้องเบรกเขาเอาไว้ก่อนค่ะ

อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ยังต้องย้ำว่า นี่เป็นเพียงมุมการใช้งานของเฟื่องเองและเป็นเพียงความคิดเห็นจากคนคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งบุคลิกการใช้งานของแต่ละคนนั้นก็จะมีส่วนที่คล้ายและแตกต่างกันไปอีกมากมายหลายแบบ แต่อย่างไรก็ตาม เฟื่องก็อยากให้เพื่อน ๆ ใช้รีวิวนี้เป็นเพียงส่วนประกอบในการพิจารณาว่ามีข้อควรระวังอะไรบ้างมากกว่าจะใช้เป็นตัวฟันธงว่าควรหรือไม่ควรซื้อนะคะ

แสดงความเห็น