อ่านข่าวยังไงไม่ให้เครียด

โรคระบาด ไฟป่า เศรษฐกิจไม่ดี กราดยิงในห้าง แค่ต้นปีข่าวที่เสพก็แทบทำกุมขมับ… อยากจะลบโซเชียลมีเดีย ไม่ตามข่าวใดๆ ก็กลัวตามโลกไม่ทัน ความจริงแล้วการเสพสื่อก็คล้ายการเลือกทานอาหาร อาหารไม่มีประโยชน์และข่าวดราม่ามักอร่อย ยิ่งเสพยิ่งเพลิน แต่จะมีวิธีเสพข่าวยังไงให้ไม่เหนื่อยใจเกินไป วันนี้มีเคล็ดลับดีๆมาแชร์กันค่ะ 3 Tips When Toxic Topic is On the Table 1. Eat Clean : Don’t Consume Drama Like a Buffet แม้เนื้อหาข่าวเหมือนกัน แต่สื่อบางสื่ออาจใช้วิธีเขียนข่าว แบบปลุกปั่น ยั่วยุ หรือ นำเสนอ Fake News ข่าวปลอมที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดกว่าเดิม การตามอ่านข่าวร้ายมากมายจากคอมเมนต์หรือความเห็นจากสเตตัสของเพื่อน อาจดูเหมือนว่าเราทันเหตุการณ์แบบ Real Time ตลอดเวลา แต่การเลือกอ่านสรุปข่าวจากสื่อที่มีคุณภาพ จะทำให้จิตตกน้อยกว่าและมั่นใจได้มากกว่าว่าเป็นข่าวที่น่าเชื่อถือ 2. Eat Healthy : Find Sunny-Side Up […]

รู้ทันอารมณ์ตัวเองด้วย Mood Track

ทำไมเราควรบันทึกอารมณ์ตัวเอง ? แค่จดไดอารี่ว่าแต่ละวันเจออะไรบ้างยังไม่พอเหรอ ? ในโลกของ Big Data ยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคลแทบทุกอย่างมีความสำคัญ ไม่เว้นแม้กระทั่งข้อมูลเล็กน้อยอย่างอารมณ์ของเราเอง มาดูกันค่ะว่า อารมณ์ในแต่ละวัน ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองได้มากขึ้นอย่างไรบ้าง เพื่อนคนหนึ่งชื่อ คุณภูมิใจ เป็นนักออกแบบ ภูมิใจให้คะแนนอารมณ์ตัวเองตั้งแต่ 1-5 บันทึกไว้ใน Excel แล้วทำกราฟอารมณ์ในช่วงหลายเดือนออกมา สิ่งที่ภูมิใจค้นพบ คือ การบันทึกอารมณ์ช่วยทำให้เห็นสภาพอารมณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆมากขึ้น ซึ่งไม่ได้แย่อย่างที่คิด แม้มีหลายวันที่รู้สึกหม่นมาก แต่พอถอยออกมาดูภาพรวม ‘ชีวิตก็ยังแฮปปี้ดีอยู่’ มีเว็บไซต์หนึ่งที่มีโครงการชื่อ 100 days happy in a row โครงการนี้ท้าให้เรามีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสติดกันครบ 100 วันให้ได้  แต่หลังจากเราได้บันทึกอารมณ์มาช่วงหนึ่งแล้ว ก็ค้นพบว่า ตัวเองมักจะมีวันที่หงุดหงิดเล็กน้อยแทรกเข้ามา 1-2 วันบ้าง 3-4 วันบ้างเสมอในแต่ละเดือน ยิ่งบันทึกไปเรื่อยๆหลายเดือนก็ยิ่งพบว่า แทบไม่มีทางเลยที่จะไม่หงุดหงิดอะไรเลยติดกัน 100 วัน แต่โดยรวม ก็ไม่ได้เศร้าโศก เป็นทุกข์หนักอะไรและ ‘ชีวิตก็ยังแฮปปี้ดีอยู่’ เช่นกัน ทั้งนี้ไม่ได้บอกว่าการพยายามมีอารมณ์ดีทุกวันเป็นเรื่องฝืนตัวเองเกินไป ขึ้นอยู่กับนิสัยและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน เพียงแต่เราอาจไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองให้มีอารมณ์ดีทั้ง […]

เน็ตบ้านแรงเต็มสปีด กระจายทั่วบ้าน!

แก้ปัญหาเน็ตบ้านช้า ไม่กระจายทั่วบ้านด้วย Super MESH Wi-Fi ตัวช่วยกระจายสัญญาณ ไม่ว่าจะบ้านสองชั้น กำแพงหนา อยู่จุดไหนของบ้านก็ใช้เน็ตแรง ๆ ได้

สรุปงานเปิดตัว Samsung Galaxy S20 + Galaxy Z Flip (จอพับได้) จับเครื่องจริงก่อนใคร!

จบงาน Samsung UNPACKED 2020 ไปแล้ว งานนี้ขนสมาร์ทโฟนเรือธงมาเปิดตัวเพียบ Galaxy S20 / Galaxy Z Flip จอพับได้ มีอะไรน่าสนใจบ้าง ราคาเท่าไร สรุปให้ดูค่า

Deepfakes จากวิดีโอขำขัน สู่ภัยคุกคามระดับโลก

การพยายามสร้างผลงานที่การลอกเลียนแบบตัวตนของบุคคล เราคงเคยเห็นผ่านตามาบ้างตามงานศิลปะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพเหมือนของจิตรกร การปั้นดินเหนียวรูปมนุษย์ หรือแม้แต่ผลงานหุ่นขี้ผึ้งของมาดามทุสโซ โดยการสร้างดังกล่าวเป็นเพียงการจำลองความเหมือนของรูปลักษณ์ภายนอกให้อยู่ในกรอบที่จำกัด ไม่ได้แสดงท่าทางเคลื่อนไหว รวมไปถึงการพูดเพื่อให้เกิดการปฎิสัมพันธ์ใดใด จึงเป็นเรื่องง่ายที่มนุษย์อย่างเราจะสามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนจริง อันไหนจำลองขึ้น ผิดกับ Deepfakes ที่ไม่เพียงสร้างความเข้าใจผิดในเรื่องของรูปลักษณ์ แต่ยังส่งผลกระทบไปถึงการบิดเบือนข้อมูลจนนำไปสู่ความโกลาหล อีกทั้งตัวมนุษย์เองยังต้องใช้ระยะเวลาที่นานพอสมควรกว่าจะรับรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่ตัวจริง ข้อมูลที่สื่อสารอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถแยกแยะสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเด็ดขาด กว่าจะรู้ตัวผลกระทบที่เกิดขึ้นก็อาจจะบานปลายเกินควบคุม วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเจ้า Deepfakes ว่าคืออะไร จุดเริ่มต้นการใช้เทคโนโลยีนี้มาจากไหน ทำไมเทคโนโลยีนี้ที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องขำขัน กลับสามารถสร้างแรงกดดันถึงขั้น Google , Twitter Facebook รวมถึงองค์กรเจ้าใหญ่อื่นๆ ต้องลงมาจัดการควบคุมเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เราจะมาหาคำตอบกันในบทความนี้ จุดกำเนิด Deepfakes  คำว่า Deepfakes นั้นถูกนำมาใช้จำกัดความให้กับวิดีโอที่ถูกปลอมขึ้นมาโดยใช้เทคโนโลยี A.I. ซึ่งคำจำกัดความนี้เกิดจากการผสานรวมกันสองคำระหว่างคำว่า “Deep” ซึ่งหมายถึง “Deep Learning” หนึ่งในรูปแบบการทำงานของ A.I. ที่ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบันเพื่อใช้ในการแยกแยะข้อมูลที่ซับซ้อนให้แม่นยำขึ้นกว่าวิธีการปกติ เช่น การแยกแยะภาพนิ่งตามอัตลักษณ์ , การแยกแยะบุคคลในวิดีโอ , การจำแนกเสียงของตัวบุคคล , การวิเคราะห์โรคทางการแพทย์ต่าง ๆ  ฯลฯ […]

Boston Dynamics กับความเป็นมนุษย์ที่อาจจะถูกวัดในอนาคต

นับเป็นเวลาหลายทศวรรษที่เทคโนโลยีหุ่นยนต์พยายามเข้ามามีบทบาทและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งตัวระบบการประมวลผล และฟังก์ชันการทำงาน เรียกได้ว่าเตรียมขึ้นเป็นแรงงานที่มีศักยภาพได้เทียบเท่ามนุษย์ เช่น การคำนวณเชิงตรรกะ การเลียนแบบพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์ อย่างการเดิน วิ่ง ล้มแล้วลุกด้วยตัวเอง ยกของ เป็นต้น ซึ่งฟังก์ชันพฤติกรรมที่เหมือนมนุษย์เหล่านั้นจะถูกประยุกต์ให้ทดแทนการทำงานของมนุษย์อย่างการขนของ หรือการกู้ภัยในพื้นที่ที่เสี่ยงอันตราย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับมนุษย์เองและเสริมสร้างเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งปัจจุบันหุ่นยนต์ที่มีฟังก์ชันที่กล่าวถูกพัฒนาขึ้นแล้วโดยบริษัท Boston Dynamics ผู้เชียวชาญด้านการพัฒนาหุ่นยนต์ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีสมองกลอัจฉริยะอย่าง A.I. เพื่อช่วยในการก้าวข้ามขีดจำกัดการทำงานในอดีตให้สูงขึ้น ชื่อของ Boston Dynamics ถูกพูดถึงกันอย่างหนาหูในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จากคลิปวิดีโอผลงานที่ทางบริษัทได้ปล่อยออกมาเอง ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายมนุษย์ Atlas ที่โชว์ความสามารถในการวิ่ง กระโดดและตีลังกาหลังได้ ซึ่งทำได้ออกมาเกือบจะเป็นธรรมชาติอย่างมาก หรือหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายสุนัข Spot ที่สร้างความตื่นเต้นคนที่พบเห็นกับความสามารถในการเปิดประตู ปอกเปลือกกล้วย ช่วยขนของ และสำรวจพื้นที่ คาดว่าในอนาคต เจ้าหุ่นยนต์เหล่านี้จะกลายเป็นผู้ช่วยของมนุษย์ได้อย่างดีเยียมในโลกของอุตสาหกรรมแรงงาน สิ่งที่เราจะมาชวนคุย ไม่ใช่เรื่องความน่ายินที่ Boston Dynamics เป็นคนทำ กลับเป็นอนาคตที่กำลังจะตามมากับการใช้ชีวิตของมนุษย์ร่วมกันกับหุ่นยนต์ว่ากำลังจะดำเนินไปในทิศทางไหน ความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อเราผนวกเอาอารยธรรม และองค์ความรู้ทุกอย่างลงไปในสมองกลและติดตั้งให้กับหุ่นยนต์เหล่านี้ เพื่อหวังจะให้มาคอยช่วยเหลือมนุษย์ หรืออาจจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามแทนกันแน่ แต่ก่อนหน้าที่เราจะพูดถึงเรื่องนั้น เรามาทำความรู้จักบริษัทนี้กันพอสังเขปกันก่อนดีกว่า ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และมีการพัฒนาอะไรมาบ้างก่อนจะมาถึงปัจจุบัน […]

AI จากจินตนาการบนแผ่นฟิล์มที่กำลังไล่ล่ามนุษย์

ลองจินตนาการดูกันนะครับ  วันหนึ่งเราอาจตื่นขึ้นมาแลัวพบว่ามนุษย์บางส่วนในโลกถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์   ไม่ว่าจะบนท้องถนน ในสำนักงานหรือในบ้านเราก็ตาม ก็คงจะมีคำถามว่าเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร   เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเพราะทุกวันนี้คุณ ๆ ก็มีชีวิตร่วมกับหุ่นยนต์หรือ AI อยู่แล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับที่มาที่ไปของ AI ในอีกแบบหนึ่ง เพื่อที่จะทำความเข้าใจและเตรียมรับมือกับเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนโลกในทุกวันนี้ ที่ไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” น่าจะใช้ได้กับทุกวงการจริง ๆ โดยเฉพาะในศิลปะภาพยนตร์เพราะประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจในภาพยนตร์ในอดีต อันเกิดจากจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของผู้เขียนบทภาพยนตร์    สิ่งเหล่านั้นก็ได้กลายมาเป็นจริงในปัจจุบันและมีอิทธิพลและสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนได้อย่างมหาศาล   ในปี 2469  ฟริทซ์ แลง  นักสร้างภาพยนตร์ชาวออสเตรียได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Metropolis ด้วยทุนมหาศาล Metropolis ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์วิทยาศาสตร์คลาสสิคที่ดีที่สุดตลอดกาล จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือการปรากฎตัวของหุ่นยนตร์สาว    ซึ่งเป็นเรื่องใหม่มากในสมัยนั้นและได้กลายเป็นต้นแบบของหนังหุ่นยนต์อีกหลายเรื่องในเวลาต่อมา นี่คือสิ่งที่เรารู้จักกันใน พ.ศ.นี้และเรียกกันว่า A.I. Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์ แล้วเราก็ได้เห็น AI ที่มีเนื้อหนังเป็นคนจริงๆ ในหนังของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่มีชื่อเรื่องตรงๆ ว่า A.I. Artificial Intelligence ในปี 2544 […]