Boston Dynamics กับความเป็นมนุษย์ที่อาจจะถูกวัดในอนาคต

นับเป็นเวลาหลายทศวรรษที่เทคโนโลยีหุ่นยนต์พยายามเข้ามามีบทบาทและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งตัวระบบการประมวลผล และฟังก์ชันการทำงาน เรียกได้ว่าเตรียมขึ้นเป็นแรงงานที่มีศักยภาพได้เทียบเท่ามนุษย์ เช่น การคำนวณเชิงตรรกะ การเลียนแบบพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์ อย่างการเดิน วิ่ง ล้มแล้วลุกด้วยตัวเอง ยกของ เป็นต้น ซึ่งฟังก์ชันพฤติกรรมที่เหมือนมนุษย์เหล่านั้นจะถูกประยุกต์ให้ทดแทนการทำงานของมนุษย์อย่างการขนของ หรือการกู้ภัยในพื้นที่ที่เสี่ยงอันตราย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับมนุษย์เองและเสริมสร้างเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งปัจจุบันหุ่นยนต์ที่มีฟังก์ชันที่กล่าวถูกพัฒนาขึ้นแล้วโดยบริษัท Boston Dynamics ผู้เชียวชาญด้านการพัฒนาหุ่นยนต์ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีสมองกลอัจฉริยะอย่าง A.I. เพื่อช่วยในการก้าวข้ามขีดจำกัดการทำงานในอดีตให้สูงขึ้น

credit : The Verge

ชื่อของ Boston Dynamics ถูกพูดถึงกันอย่างหนาหูในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จากคลิปวิดีโอผลงานที่ทางบริษัทได้ปล่อยออกมาเอง ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายมนุษย์ Atlas ที่โชว์ความสามารถในการวิ่ง กระโดดและตีลังกาหลังได้ ซึ่งทำได้ออกมาเกือบจะเป็นธรรมชาติอย่างมาก หรือหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายสุนัข Spot ที่สร้างความตื่นเต้นคนที่พบเห็นกับความสามารถในการเปิดประตู ปอกเปลือกกล้วย ช่วยขนของ และสำรวจพื้นที่ คาดว่าในอนาคต เจ้าหุ่นยนต์เหล่านี้จะกลายเป็นผู้ช่วยของมนุษย์ได้อย่างดีเยียมในโลกของอุตสาหกรรมแรงงาน

สิ่งที่เราจะมาชวนคุย ไม่ใช่เรื่องความน่ายินที่ Boston Dynamics เป็นคนทำ กลับเป็นอนาคตที่กำลังจะตามมากับการใช้ชีวิตของมนุษย์ร่วมกันกับหุ่นยนต์ว่ากำลังจะดำเนินไปในทิศทางไหน ความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อเราผนวกเอาอารยธรรม และองค์ความรู้ทุกอย่างลงไปในสมองกลและติดตั้งให้กับหุ่นยนต์เหล่านี้ เพื่อหวังจะให้มาคอยช่วยเหลือมนุษย์ หรืออาจจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามแทนกันแน่ แต่ก่อนหน้าที่เราจะพูดถึงเรื่องนั้น เรามาทำความรู้จักบริษัทนี้กันพอสังเขปกันก่อนดีกว่า ว่ามีความเป็นมาอย่างไร และมีการพัฒนาอะไรมาบ้างก่อนจะมาถึงปัจจุบัน

ทำความรู้จักกับ Boston Dynamics 

Boston Dynamics บริษัทสัญชาติอเมริกัน ที่งานหลักคือการวิจัย ออกแบบ และพัฒนาหุ่นยนต์ ก่อตั้งเมื่อปี 1992 ที่เกิดจากการวิจัยเล็ก ๆ ที่สถาบันเทคโนโลยี MIT และภายหลังแยกตัวออกมาเป็นบริษัท ปัจจุบันเป็นหนึ่งในบริษัทลูกของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง SoftBank 

เราลองมาดูผลงานตัวอย่างของบริษัท Boston Dynamics โดยผู้เขียนจะยกมาบางส่วนเพื่อให้เห็นถึงผลงานแต่ละอย่างก่อนจะมาเป็น Atlas และ Spot ที่เราเห็นในปัจจุบัน 

credit:syncedreview – Timeline การทดสอบและวิจัยของทีม Boston Dynamics

Atlas

มาถึงตัวเอกของงานอย่าง Atlas หุ่นยนย์รูปร่างมนุษย์ที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดจากทุกผลงานของ Boston ที่ไม่เพียงแต่เดิน กระโดด ปีน หรือใช้มือในการบีบจับ แต่ยังสามารถแสดงพฤติกรรมที่คล้ายกับอารมณ์โกรธแบบเดียวกับมนุษย์ออกมาได้อีกด้วย ซึ่งในอนาคตจะถูกใช้เป็นหุ่นยนต์ด้านกู้ภัยและค้นหาคนหาย

BigDogs 

หุ่นยนต์รูปร่างคล้ายสุนัขขนาดใหญ่ ผลงานยุคแรกเริ่มของ Boston Dynamics รูปร่างภายนอกมีสี่ขา และบริเวณลำตัวถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการขนสัมภาระ รองรับน้ำหนักของที่แบกได้ถึง 150 กิโลกรัม มีระบบการรักษาสมดุลภายในตัวเอง ดูดซับแรงกระแทกได้ดี แถมยังเอาพลังงานที่ได้จากการเคลื่อนที่บางส่วนกลับมาใช้ใหม่ได้ แรกเริ่มเดิมทีเจ้าตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในกองทัพ ในการแบกสัมภาระในสภาพแวดล้อมที่ยากเกินกว่ารถยนต์จะสามารถเดินทางได้ เราลองมาดูวิดีโอสาธิตของ BigDogs ตัวนี้กันดีกว่า

Cheetah

แค่ชื่อก็พอจะเดาออกว่าเจ้านี่เด่นทางด้านการวิ่ง อีกทั้งยังเป็นเจ้าของสถิติหุ่นยนต์ที่ทำความเร็วได้ดีที่สุดในโลกในปี 2012 (45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ 13 เมตรต่อวินาที) ซึ่งทาง Boston Dynamics ออกแบบมาเพื่อใช้ในการวิจัยเรื่องความเร็วของหุ่นยนต์โดยเฉพาะ

LittleDog

เจ้าน้องเล็ก รุ่นรีไซส์ของ BigDogs ถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการศีกษาวิจัยเรื่องมอเตอร์ และระบบการควบคุม เพื่อใช้ในสถาบันการศึกษา

Petman

หุ่นยนย์ตัวแรกของ Boston ที่สามารถขยับได้ราวกับมนุษย์จริงๆ ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการทดสอบชุดป้องกันสารเคมี เรียกได้ว่าเป็นต้นแบบของเจ้าหุ่น Atlas เลยก็ว่าได้  

LS3

เป็นเวอร์ชันพัฒนามาจาก BigDogs ซึ่งเพิ่มการรับน้ำหนักให้ได้มากถึง 180 กิโลกรัม อีกทั้งยังมีฟังก์ชันการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม โดยสามารถกำหนดได้ว่าจะให้เครื่องไหนทำหน้าที่เป็นผู้นำ โดยที่เครื่องอื่นนอกเหนือจากนั้นจะทำตามคำสั่งตัวผู้นำที่ถูกกำหนดไว้

Spot 

เจ้าหมา Spot หรือชื่อเดิม SpotMini ที่ไม่ได้มีไว้แค่ประดับหรือโชว์เล่นๆ แต่มาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงานที่สารพัดประโยชน์ สามารถทำงานในสภาพอากาศที่ติดลบต่ำสุด -20 องศา และสูงสุด 40 องศา ทั้งยังสามารถบรรทุกของได้สูงสุด 14 กิโลกรัม เรียกได้ว่าเหมาะแก่การใช้งานทั่วไป ไปจนถึงการใช้งานเฉพาะด้านอย่างมาก ด้วยประโยชน์ที่ให้มานี้ จะช่วยในเรื่องของการสำรวจพื้นที่ที่เข้าถึงยาก รวมไปถึงการนำส่งของยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัยในสถานที่ที่เป็นอันตราย เป็นต้น 

ซึ่งปัจจุบันเจ้าหุ่นยนต์สุนัขตัวนี้ได้มีการทดสอบใช้งานจริงแล้วโดยกรมตำรวจสหรัฐแมสซาชูเซตส์ ในฐานะหุ่นยนต์ตรวจการระยะใกล้ แม้จะไม่ได้มีการเปิดเผยชัดเจนว่าจะถูกนำไปใช้ด้านไหนเป็นพิเศษ แต่ทาง Boston และกรมตำรวจแมสซาชูเซตส์ตกลงกันอย่างเป็นลายลักษ์อักษรว่าจะไม่นำเจ้า Spot ไปใช้เป็นอาวุธอย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่า Boston Dynamics ไม่ใช่เจ้าแรกๆ ที่มีการพัฒนาและทำหุ่นยนต์เดินได้ให้เป็นที่ประจักษ์ของชาวโลก แต่ถือว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่สามารถพัฒนาให้มีความสมบูรณ์จนสามารถเลียนแบบการขยับของมนุษย์ได้ ซึ่ง Atlas และ Spot ได้แสดงให้เห็นถึงจุดนั้นอย่างชัดเจน เมื่อทั้งสองมีการจำหน่ายอย่างแพร่หลายเมื่อไหร่ วันนึงเราเดินเล่นที่สวนสาธารณะตอนเช้า เราอาจจะพบเจอเจ้าตัวเล็กนี่วิ่งเคียงคู่กับเจ้าของก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจแต่อย่างใด

มนุษย์ หุ่นยนต์ กับการอยู่ร่วมกันอย่างในหนังไซไฟ

เราได้เห็นแล้วว่าผลงานของ Boston Dynamics ไม่เพียงแต่ผลิตหุ่นยนต์รูปร่างลักษณะคล้ายสัตว์ อย่างสุนัข แมว หรือชีตาร์ แต่มีหุ่นยนต์ที่รูปร่างคล้ายมนุษย์ด้วย และผู้เขียนมั่นใจว่าในอนาคตอันใกล้ คงมีการปรับรูปแบบโมเดลภายนอกให้มีลักษณะใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิต เพื่อให้สิ่งมีชีวิตรอบข้างรู้สึกถึงความกลมกลืนและรู้สึกแบ่งแยกน้อยลงในอีก 10-20 ปี ข้างหน้า รวมกับการฝังสมองกลอัจฉริยะ (AI) เข้าไปใช้ในการประมวล เราอาจจะได้เห็นคนเล่นกับสุนัขโรบอทแทนที่จะเป็นสุนัขจริง ตำรวจโรบอทที่มีหน้าคล้ายคนจนแยกไม่ออกด้วยสายตา อีกทั้งยังออกใบสั่งและอัพเดทประวัติการทำผิดของเราเข้าฐานข้อมูลได้แบบ realtime รวมไปถึงการที่ให้โรบอททำงานง่าย ๆ ที่มนุษย์ทำ อย่างล้างจาน กวาดพื้นถนน ขับรถยนต์ เราจะได้เห็นจนชินตา 

ทั้งนี้ประเด็นข้างต้นเป็นเพียงสิ่งที่คาดการณ์กันมานาน ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ประเด็นที่น่าคิดถัดไปดูจะเป็นความสามารถในการเรียนรู้ และการพัฒนาที่รวดเร็วของหุ่นยนต์เหล่านั้น ในท้ายที่สุดแล้วหุ่นยนต์ที่ว่าอาจสามารถก้าวขึ้นไปสู่ชนชั้นพลเมืองแบบมนุษย์ได้ในอนาคต เช่นเดียวกับ “โซเฟีย” A.I. ที่ได้รับสัญชาติซาอุดิอาราเบียเป็นพลเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย นั่นหมายความว่าหุ่นยนต์จะกลายเป็นหนึ่งในชนชาติสายพันธ์ใหม่ เป็นพลเมืองของโลกที่มีสิทธิ เสรีภาพ และสามาถอยู่ร่วมกันกับมนุษย์ได้อย่างเท่าเทียม ในประเด็นนี้ปัญหาที่ตามมาคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของงาน พลเมืองหุ่นยนต์จะถูกให้ความสำคัญมากกว่ามนุษย์เป็นแน่ เพราะสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าหลายเท่า นำไปสู่การประท้วงของมนุษย์ที่อาจจะทำให้เกิดความโกลาหล และสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถประเมินได้

ประเด็นถัดมา คือ การย้ายร่างที่จะนำไปสู่ความเป็นอมตะที่มนุษย์ใฝ่ฝันถึง ฟังดูอาจจะเป็นไปได้ยาก แต่ก็มีความเป็นไปได้ จากหลักฐาน Neuralinks ของอีลอน มัสก์ ที่สามารถแปลงข้อมูลจากสมองเข้าสู่เครื่องจักร และสั่งการเครื่องจักรได้ หากเราเปลี่ยนจากการสั่งการ เป็นการถ่ายโอนเพื่อเอาข้อมูลทั้งหมดในสมองของมนุษย์บรรจุใส่ไปในสมองกลของเครื่องจักรของ Boston Dynamics นั่นหมายความว่าเราจะมีจิตใจและร่างใหม่เป็นหุ่นยนต์ แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือได้รับความสามารถในการเคลื่อนไหว รวมไปถึงการประมวลผลที่ดีขึ้นมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย นี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นใหม่ของมนุษยชาติก็ได้ 

credit : Corridor – ภาพที่ทางทีม Corridor นำเอากราฟิกหุ่นยนต์ตัดต่อเข้าไป

พัฒนาการของ Boston Dynamics ทำให้เราเห็นมุมมองการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และหุ่นยนต์อย่างที่เรากล่าวในประเด็นข้างต้นกำลังจะกลายเป็นจริง ซึ่งก็เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นบ้างแล้ว สังเกตได้จากบางบ้านที่ใช้ IoTs เชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในบ้าน และสั่งการอุปกรณ์เหล่านั้นผ่าน Smart Device ต่าง ๆ (เหมือนดั่งเรามีผู้ช่วยจำลองคอยชวนจัดการเรื่องในบ้านให้เพียงแค่สั่งเท่านั้น) หรือการทดแทนชิ้นส่วนของร่างกายที่สึกหรอด้วยอวัยวะเทียมที่ใช้งานได้เหมือนอวัยวะจริง อย่าง Hero Arm แขนกลที่ผลิตโดยบริษัท Open Bionics โดยใช้เครื่องพิมพ์สามมิติในการผลิต และใช้เซ็นเซอร์ติดผิวหนังของผู้สวมใส่เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เป็นต้น การให้หุ่นยนต์ปฏิบัติแทนมนุษย์ในกระบวนการที่ต้องการความแม่นยำสูง หรือมีอันตราย เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ประสิทธิภาพสูงสุด นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะให้เกิดประเด็นที่ผู้เขียนคาดการณ์เอาไว้ การมีพลเมืองหุ่นยนต์ และความเป็นอมตะ

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วสังคมจะยอมรับการมีอยู่ของพลเมืองรูปแบบใหม่เหล่านั้นหรือเปล่า ? และพวกเขาควรมีสิทธิ เสรีภาพเท่าเทียมกับมนุษย์อย่างเราไหม ? และความเป็นอมตะในรูปแบบที่ว่านั้นดีกว่าการเกิดและดับตามธรรมชาติจริงหรือ ? ในตอนนี้ยังคงมืดแปดด้าน ผู้อ่านหลายคนอาจจะคิดว่าแนวคิดนี้ไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ทุกวันนี้หลายสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้  มันก็ได้เกิดขึ้นและเราเองก็ได้เป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งเหล่านั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แสดงความเห็น