Apple หนึ่งในผู้บุกเบิกสำคัญแห่งวงการ IT โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน ที่ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันของคนเกือบทั่วโลกไปโดยปริยายแล้ว มาวันนี้พวกเขากำลังจะสร้างการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จากการเข้าจดสิทธิบัตร Finger Devices ใช้งานร่วมกับเทคโนโลยี AR และ VR ซึ่งคาดว่าจะเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ Apple กำลังเข้ามาเป็นผู้เล่นสำคัญอย่างเต็มตัว
เมื่อปลายปี 2019 Apple ได้เปิดเผยแผนการพัฒนาเทคโนโลยี AR และ VR โดยจะพัฒนาอุปกรณ์เฮดเซ็ตและเเว่นตาสำหรับ AR ก่อนเป็นลำดับแรก ภายใต้ระบบปฎิบัติการเฉพาะชื่อ rOS (Reality Operating System) และจะมีการเปิดตัวเฮดเซ็ตในปี 2022 และแว่นตาในปี 2023 ซึ่งหลายสำนักข่าวมองว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่มาทดแทนสมาร์ทโฟนในอนาคต แต่จากที่เราเห็นเทคโนโลยี AR และ VR ในหลายปีที่ผ่านมา ก็พบว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรนัก ทั้งในเรื่องของราคา ความสะดวกในการใช้อุปกรณ์ และการพกพาที่ยังไม่เป็นที่พอใจของผู้บริโภค เรียกได้ว่ายังต้องค้นหาจุดยืนของตัวเองอยู่พอสมควร
AR ย่อมาจาก Augmented Reality ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า “ความจริงที่ถูกแต่งเสริม” หมายถึงการนำเอาวัตถุที่อยู่ในโลกดิจิทัลมาแต่งเติมและเสริมให้กับโลกจริง ยกตัวอย่างง่ายๆที่เราเจอในชีวิตประจำวัน เช่น แอปพลิเคชันแต่งหน้าตัวเองให้เป็นรูปหน้าแบบต่างๆ ใน Line หรือในสตอรี่ IG เป็นต้น
VR ย่อมาจาก Virtual Reality แปลได้ว่า “ความจริงเสมือน” หมายถึงการสร้างโลกใหม่ขึ้นมา (ซึ่งเป็นโลกเสมือน) และนำผู้ใช้เข้าไปอยู่ในโลกนั้นผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อ ซึ่งสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ที่ได้รับจะเหมือนหรือไม่เหมือนอยู่ในโลกแห่งความจริงก็ได้ เช่น เกมทั้งหลายที่รองรับอุปกรณ์ VR ซึ่งจะทำให้เรามีมุมมองเดียวกันกับตัวละคร ในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกับที่ตัวละครเห็น เป็นต้น ลองดูที่วิดีโอด้านล่างเพื่อความเข้าใจมากขึ้น
ถ้าจะพูดถึง AR ที่ประสบความสำเร็จที่สุดคงหนีไม่พ้น Pokemon GO ที่ให้ผู้เล่นสวมบทบาทเป็น Pokemon Trainer ออกไปไล่ล่าจับโปเกมอนจากสถานที่ต่างๆ โดยอิงจากสถานที่ปัจจุบันของผู้ใช้เองผ่านสมาร์ทโฟน ส่วน VR นั้น เป็นที่นิยมระดับหนึ่งในวงการเกม และวงการ AV ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริง แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค และไม่สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างที่ตั้งเป้าได้
การประกาศถึงสิทธิบัตรใหม่ของ Apple ที่ชื่อ Finger Devices นี้จะเข้ามาอุดช่องว่างการปฏิสัมพันธ์ที่ติดขัดระหว่างผู้ใช้และอุปกรณ์ เพื่อนำ AR ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หลากหลายมากขึ้น โดยรูปแบบการทำงานตามคำกล่าวอ้างของสำนักงานจดสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าของสหรัฐอเมริกา (USPTO) คือ นำอุปกรณ์ที่ติดตั้งเซนเซอร์มาสวมไว้ที่นิ้วของผู้ใช้ และใช้นิ้วลาก-กด-เลื่อน เพื่อควบคุมและสั่งการไปยังอุปกรณ์ AR หรือ VR (ในที่นี้อาจเป็นลักษณะเหมือนหน้าป็อปอัพที่เราเห็นในคอมพิวเตอร์เวลาต้องการจะกดเพื่อทำรายการ ซึ่งจะมาปรากฎขึ้นตรงหน้าผู้ใช้ให้กดเพื่อใช้งานอุปกรณ์แทน) รวมไปถึงการใช้กับอุปกรณ์ทั่วไปของ Apple ด้วย ไม่ว่าจะเป็น iPhone ,iPad หรือแม้แต่ HomePod
Finger Devices ตัวนี้มีบทบาทอย่างไรกับ AR / VR
Finger Devices ที่กล่าวมาข้างต้นจะเข้ามามีส่วนช่วยสร้างความราบรื่นในการควบคุม และตอบโต้ในโลกเสมือนจริงของ AR หรือ VR ที่ถูกนำมาแสดงผลต่อหน้าผู้ใช้ โดยทางสำนักสิทธิบัตรได้อธิบายว่า ภายในอุปกรณ์นั้นประกอบด้วยเซนเซอร์ตรวจจับที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ตรวจจับแรง (Force sensor), เซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวชนิดแสง (Optical sensor), เซนเซอร์ตรวจจับเสียง (Ultrasonic sensor) และเซนเซอร์อื่นๆ โดยหน้าที่ของเซนเซอร์คือทำการรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ประมวลผลร่วมกับ AI ว่าผู้ใช้ต้องการจะทำอะไรกับวัตถุใดหรืออุปกรณ์ใด และแสดงผลเป็นคอนเทนต์เสมือนให้เราใช้งานร่วมกับอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์อื่นๆ ในโลกแห่งความจริงที่กำลังเชื่อมต่ออยู่ เช่น การลดเสียงเพลงที่ถูกปล่อยออกมาจากลำโพง โดย AR แสดงแถบ volume สำหรับเพิ่มลดขึ้นมาบนแว่น AR (สมมุติว่าใส่แว่นอยู่) เมื่อใช้นิ้วสัมผัสที่ปุ่มนั้น ก็จะลดเสียงได้เลย แม้แต่ในบริบทการรับโทรศัพท์ก็จะมีปุ่มหูโทรศัพท์ขึ้นมาให้กด แล้วรับได้ทันที หรือในบริบทของการเล่นเกมที่ใช้ AR หรือ VR การจับอาวุธ ควบคุมยาน จับวัตถุเพื่อเก็บเป็นไอเทม เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์ที่สมจริงไปอีกขั้น
อย่างไรก็ตามยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Apple เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้ว่าจะมีการเปิดตัวและเริ่มปล่อยสู่ตลาดเมื่อไหร่ เป็นเพียงสิทธิบัตรที่ถูกจดทะเบียนเท่านั้น แต่หากมีประกาศใช้งานจริง Apple จะเป็นผู้เดินเกมก้าวสำคัญของอุตสาหกรรม AR และ VR ในทันที เพราะเพียงผู้ใช้มองไปยังอุปกรณ์ที่อยู่ในระยะผ่าน AR ที่กำลังเชื่อมต่ออยู่ ก็สามารถสั่งการอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ต่างๆนั้น ได้ทันที เพียงแค่กดฟังก์ชันผ่านทางหน้าจอที่ปรากฏตรงหน้า ปัดนิ้วไปมาบนอากาศก็สามารถสั่งการอุปกรณ์นั้นได้ทุกอย่างแล้ว ในอนาคตเราอาจได้เห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้ จากที่เคยเป็นสังคมก้มหน้า เลื่อนจอไปมาบนสมาร์ทโฟน ก็จะกลายเป็นการมองโลกผ่าน AR และขยับนิ้วขึ้นลงบนอากาศเพื่อปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้าง แต่จะเป็นจริงได้หรือไม่นั้น เราผู้ใช้คงต้องคอยติดตามดูกันต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก
patentlyapple
independent
cnet
uspto