เมื่อ AI ทำงานแทนคนได้ อาชีพไหนรอด อาชีพไหนน่าเป็นห่วง ?

    ช่วงหลายปีมานี้ เพื่อน ๆ คงได้ยินข่าวว่า AI อาจเข้ามาแย่งงานมนุษย์ใช่ไหมคะ หลาย ๆ คนเลยอาจจะกังวลว่า อาชีพที่ตัวเองทำอยู่นั้นเสี่ยงหรือเปล่า เราเลยขอมาแจกแจงให้เห็นภาพมากขึ้นค่ะว่า AI จะเข้ามาแทนที่อาชีพลักษณะไหน และอาชีพอะไรบ้างที่ยังปลอดภัยอยู่

อาชีพที่คุณทำอยู่เสี่ยงโดน AI แย่งงานแค่ไหน ?

    Kai Fu Lee ผู้เขียนหนังสือ AI Superpowers ได้แบ่งความเสี่ยงของอาชีพต่าง ๆ ออกเป็น 4 กลุ่มตามกราฟนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลาย ๆ อาชีพมีความเสี่ยงเหมือนกัน แต่จะต่างกันที่เสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อยเท่านั้นเองค่ะ

กลุ่มที่ 1 Danger Zone (โซนอันตรายมาก)

    คือ กลุ่มอาชีพที่ไม่ต้องใช้มนุษย์สัมพันธ์ ความคิดสร้างสรรค์ ความละเอียดอ่อน และการวางกลยุทธ์ รวมถึงมีสภาพแวดล้อมการทำงานคงที่ เลยมีความเสี่ยงสูงว่าจะโดน AI แย่งงานค่ะ เช่น พนักงานแคชเชียร์ พนักงานล้างจาน พนักงานปักเย็บเสื้อผ้า คนขับรถบรรทุก และชาวสวน เป็นต้น

กลุ่มที่ 2 Human Veneer (โซนอันตรายน้อย)

    คือ กลุ่มอาชีพที่ใช้มนุษย์สัมพันธ์สูง แต่ไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการวางกลยุทธ์ เลยทำให้มีความเสี่ยงว่าอาจโดน AI แย่งงาน เช่น บาร์เทนเดอร์  บาริสต้า พนักงานเสิร์ฟ พ่อครัว (ตอนนี้ 4 อาชีพนี้เริ่มมีหุ่นยนต์มาทำงานแทนแล้วนะคะ แต่หุ่นยนต์คงไม่ได้มาแทนที่คนทำอาชีพนี้ทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้) พนักงานต้อนรับ ไกด์นำเที่ยว และคุณครู เป็นต้น

กลุ่มที่ 3 Slow Creep (โซนค่อนข้างปลอดภัย)

    คือ กลุ่มอาชีพที่ไม่เน้นมนุษย์สัมพันธ์ แต่ต้องใช้ความละเอียดอ่อน ความคิดสร้างสรรค์ และมีสภาพแวดล้อมการทำงานไม่คงที่ เช่น นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ คอลัมนิสต์ ศิลปิน กราฟิกดีไซน์เนอร์ พนักงานทำความสะอาด พนักงานก่อสร้าง และช่างประปา เป็นต้น

กลุ่มที่ 4 Safe Zone (โซนปลอดภัย)

    คือ กลุ่มอาชีพที่ใช้มนุษย์สัมพันธ์สูง ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และต้องอาศัยการวางกลยุทธ์ เช่น ซีอีโอ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่าย HR จิตแพทย์ นักออกแบบทรงผม นักกายภาพบำบัด ผู้จัดงานอีเวนต์ ผู้ดูแลคนสูงอายุ นักฝึกสุนัข และคนทำงานเพื่อสังคม เป็นต้น

ทีนี้ลองมาดูกันค่ะว่า ตอนนี้ AI ถูกพัฒนาไปไกลแค่ไหน และเริ่มเข้ามามีบทบาทในอาชีพอะไรแล้วบ้าง

4 อาชีพทักษะสูงที่เริ่มมี AI เข้ามาทำงานแทนแล้ว

  1. พนักงานธนาคาร

    ตอนนี้ SBI Sumishin ธนาคารออนไลน์อันดับ 1 ของญี่ปุ่นมี AI เข้ามาช่วยปล่อยสินเชื่อแล้วค่ะ จากเมื่อก่อนที่ต้องใช้เวลาหลายวันพิจารณาคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ AI ตัวนี้กลับประเมินข้อมูลได้ทันที โดยคำนวณความเสี่ยงออกมาเป็น 0-100% 

ส่วนบริษัท Mastercard ก็นำ AI มาตรวจสอบการโกงในแผนก Decision Intelligence (DI) ซึ่ง AI ตัวนี้จะเรียนรู้ข้อมูลธุรกรรมของลูกค้าในอดีต เพื่อป้องกันการโกงบัตรเครดิตได้แบบเรียลไทม์ ด้วยความแม่นยำที่สูงมาก

  1. หมอ / เภสัชกร

    บริษัท Buoy Health เริ่มใช้ Chatbot AI มาวินิจฉัยโรคจากอาการของผู้ป่วย และสถาบัน Houston Methodist Research Institute ก็ได้คิดค้น AI มาประเมินความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งมีความแม่นยำถึง 99% และวินิจฉัยได้เร็วกว่าหมอถึง 30 เท่าเลยนะคะ

ส่วนฝั่งเภสัชกรก็เริ่มนำหุ่นยนต์มาจ่ายยาแทนคนแล้ว และหลาย ๆ ที่ก็ใช้ AI มาช่วยคิดค้นสูตรยาใหม่ ๆ ด้วย เช่น บริษัท Pfizer ได้ใช้ IBM Watson หรือระบบประมวลผลขนาดใหญ่มาช่วยจัดระเบียบข้อมูลผู้ป่วยเป็นล้าน ๆ เคส เพื่อคิดค้นยาเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ประหยัดเวลาวิจัยไปได้หลายปีเลยค่ะ

  1. พนักงานขาย

    หลายปีมานี้คนหันมาซื้อของทางออนไลน์กันมากขึ้น ทำให้ตำแหน่งพนักงานขายอาจไม่จำเป็นเท่าแต่ก่อนแล้วค่ะ ที่สำคัญ สมัยนี้ขายเก่งอาจไม่สู้รู้ใจว่าลูกค้าอยากได้อะไร ซึ่ง AI ทำหน้าที่ส่วนนี้ได้ดีมาก โดยนำ Big Data มาประมวลผล แล้วเจาะเป็นรายบุคคลเลยว่า นาย A ชอบสิ่งนี้ มีกำลังซื้อเท่านี้ กำลังอยากได้อะไร หรือแม้กระทั่งว่าต้องใช้สินค้าอะไรในอนาคต

E-commerce ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ก็ใช้ AI มาช่วยแนะนำสินค้าให้ลูกค้าเหมือนกันค่ะ โดย AI จะศึกษาความสนใจของลูกค้าจากประวัติการท่องเว็บ สินค้าที่เคยซื้อ การเขียนรีวิว และปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งหมายความว่ายิ่งเราซื้อของมากเท่าไร AI ก็จะยิ่งรู้ใจเรามากขึ้นเท่านั้น

  1. ดีไซเนอร์

    แบรนด์ H&M ได้นำ AI เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าจากใบเสร็จร้าน แต้มในบัตรสมาชิก สินค้าที่ลูกค้าเอามาคืน และอื่น ๆ เพื่อประมวลผลออกมาว่าผลิตอะไรถึงขายดี อะไรควรเลิกผลิต ไปจนถึงเทรนด์แฟชั่นเกิดใหม่ ทำให้ธุรกิจกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาขายไม่ดีจนสินค้าล้นสต็อก เพราะตามเทรนด์ใหม่ไม่ทัน รวมถึงไม่รู้ว่าลูกค้าชอบหรือต้องการอะไรค่ะ

นอกจากนี้ สายงานบางอย่างที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ก็ยังหนีไม่พ้นการมาของ AI นะคะ

3 สายงานสร้างสรรค์กับนวัตกรรมจาก AI

  1. งานสายโปรดักชัน

    ค่าย 20th Century Studios ได้ทดลองใช้ IBM Watson มาตัดต่อ Trailer ภาพยนต์เรื่อง Morgan ซึ่งเป็นหนังสยองขวัญ โดยทางค่ายเทรนให้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากภาพยนตร์แนวเดียวกันกว่า 100 เรื่อง จน AI เข้าใจเสียง ฉาก อารมณ์ โทนสี และลำดับการเล่า ว่าแพทเทิร์นแบบไหนจะทำให้คนรู้สึกกลัวได้ ที่น่าทึ่งคือแม้คนทั่วไปจะใช้เวลาตัดต่อถึง 10 – 30 วัน แต่ AI สามารถตัดต่อเสร็จได้ภายในวันเดียวเท่านั้นค่ะ

  1. งานสายดนตรี

    ตอนนี้ AI ถูกเทรนให้เรียนรู้เพลงหลายรูปแบบ จนสามารถเลือกคอร์ด จังหวะ โน๊ต เพื่อแต่งทำนองเพลงเองได้แล้วนะคะ ซึ่งบริษัทใหญ่อย่าง Google ก็ได้ทำโปรเจกต์ Magenta ขึ้นมาเพื่อสร้างงานดนตรีและศิลปะจาก AI โดยเฉพาะ ส่วน Sony และ Spotify ก็เริ่มนำ AI มาใช้แต่งเพลงเช่นเดียวกัน แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ศิลปินบางส่วนก็ยังมองว่า AI คงแต่งได้แค่เพลงแบบเดิม ๆ และน่าจะไม่สามารถทำเพลงได้กินใจเท่าฝีมือคนทั่วไปอยู่ดี

  1. งานเขียนและงานข่าว

    สำนักข่าวต่างประเทศอย่าง BBC, Forbes, Bloomberg ก็ได้ใช้ AI มาช่วยเขียนข่าวเศรษฐกิจ ข่าวการเงิน และข่าวกีฬาค่ะ เพราะ AI สามารถย่อยข้อมูลดิบที่ยาว และผลิตข่าวออกมาได้ทันที ต่างจากมนุษย์ที่ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ส่วนงานเขียนที่อาศัยภาษาสวย ๆ เอง อย่างบริษัท OpenAI ก็ได้พัฒนาเทคโนโลยี GPT-3 ขึ้นมาซึ่งใช้ภาษาได้สละสลวยมากจนแยกไม่ออกว่าบทความไหนใช้ AI หรือคนทั่วไปเขียน แต่ถึงยังไงก็ควรมีบรรณาธิการมาตรวจความถูกต้องของข้อมูลอยู่ดี เพื่อป้องกันไม่ให้มี Fake News ค่ะ

สรุป

    ทั้งนี้ทั้งนั้น AI คงไม่สามารถใช้แทนคนในทุกด้าน เพียงแต่เข้ามาช่วยให้คนทำงานอย่างสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้นค่ะ ที่สำคัญ การเข้ามาของ AI ยังเปิดโอกาสให้เกิดอาชีพใหม่ ๆ ด้วยนะคะ เช่น ช่างซ่อมหุ่นยนต์ หรือผู้ตรวจสอบการทำงานของ AI 

ส่วนใครที่กังวลว่าจะถูก AI แย่งงานก็อย่าลืมฝึกทักษะมนุษย์สัมพันธ์ ความคิดสร้างสรรค์ และความละเอียดอ่อนไว้ รวมถึงพาตัวเองออกจาก Comfort Zone ไปเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และไม่หยุดพัฒนาตัวเองนะคะ ถ้าทำได้ตามนี้คนเราคงสร้างคุณค่าหลาย ๆ อย่างให้กับโลกนี้ได้ไม่แพ้ AI แน่นอนค่ะ

ขอขอบคุณเครื่องมือจาก : ZOCIAL EYE

แสดงความเห็น