Living in The Future เราควรจะมีความเป็นอยู่อย่างไร ในโลกอนาคต ? (ผ่านมุมมองของเด็กรุ่นใหม่)

หนึ่งใน Vertical session ที่ชอบที่สุดในงาน Techsauce Global Summit 2019 เพราะถือว่าเป็น Session ที่เติมเต็มงานครั้งนี้ให้สมบูรณ์และหลากหลาย ด้วยเหล่า Speakers เด็ก ๆ รุ่นจิ๋ว ที่มา แสดงความเห็นกันบนเวที ในหัวข้อ “Living in The Future” ว่าในความเห็นของน้อง ๆ แต่ละคน โลกในอนาคต จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร หรือควรเป็นอย่างไรกันบ้าง

ก่อนที่จะเข้าในส่วนของเนื้อหาการพูดคุย เรามาดูประวัติ Speakers รุ่นจิ๋ว แต่ละคนกันดีกว่า เริ่มจาก ทางซ้าย

ใบเตย อิรวดี ถาวรบุตร CEO และผู้ก่อตั้ง “Sandee For Good” พื้นที่สื่อกลางที่จะช่วยให้เงินทุก บาททุกสตางค์ในการบริจาค ถูกนําไปใช้อย่างมีคุณค่า ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและถึงมือของผู้รับ บริจาคได้ตรงความต้องการ

อัคชัท มิตตัล (Akshat Mittal) ผู้ก่อตั้ง ChangeMyIndia แพลตฟอร์มที่จับคู่เหล่าวัยรุ่นที่อยากจะ เปลี่ยนแปลงสังคม กับพลเมืองที่อยู่ในธุรกิจจริง เพื่อทํางานร่วมกันในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในอินเดีย

ไคเดะ ทาเกะนากะ เด็กน้อยอายุ 10 ปี ที่เป็น CEO และ ผู้ร่วมก่อตั้ง “KidLetCoin” แพลตฟอร์มให้ ความรู้เกี่ยวกับ บล็อกเชน และเทคโนโลยี กับเด็ก ๆ โดยเริ่มต้นจากการช่วยเหลือพ่อแม่ทํางานบ้าน หรือตั้งใจทําการบ้านเพื่อรับรางวัลเหรียญโทเคนดิจิทัล ‘KID’

ภูมิ ตันศิริมาศ เด็กสองภาษา ที่เติบโตมาท่ามกลางพ่อแม่คนไทย และเรียนหนังสือที่บ้าน แทนการเข้าโรงเรียน มีความชอบและสนใจ เทคโนโลยีและการเขียนโค้ด

และ มิชารี มุคบิล ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที และก่อตั้ง Zymple เพื่อให้คําปรึกษาบริษัทต่าง ๆ ในการสร้างรายได้ จากการลงทุนด้าน ไอที ทําหน้าที่เป็นผู้ดําเนินรายการ

หลังจากพูดคุยแนะนําตัว และพูดถึงความชอบของแต่ละคน มิชารี เปิดด้วยคําถามที่ว่า

อะไรบ้างที่คิดว่ามันจะเชยหรือไม่ควรมีในอนาคต ?

คําตอบก็มีหลากหลาย เช่น

  • ทําไม เราจะต้องทํารองเท้าให้มีลิ้นรองเท้าด้วย ? ในอนาคต ไม่น่าที่จะมีลิ้นรองเท้าแล้ว เพราะมันทําให้ใส่รองเท้าลําบาก และสร้างความรําคาญ
  • การซื้อขายของบางชนิด ที่ต้องเดินไปซื้อที่ร้านจะหมดไป เช่น ร้านขายยา ในอนาคตทุกอย่างจะปรับเปลี่ยน ซื้อขายทุกอย่าง ออนไลน์และสั่งมาส่งที่บ้านได้ อย่างที่อินเดีย ก็สามารถที่จะโทรศัพท์สั่งยา จากร้านขายยา ให้มาส่งที่บ้านได้ โดยไม่ต้องออกไปซื้อ
  • การทํางานซ้ํา ๆ เดิม ๆ ที่น่าเบื่อ ๆ จะถูกทดแทนด้วย AI และหุ่นยนต์ ที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

และหนึ่งประเด็นหลักที่น่าสนใจ ที่ถูกพูดถึงค่อนข้างเยอะ คือเรื่องของการเปลี่ยนระบบการศึกษา 

จากปัจจุบันที่เด็กจะต้องเรียนทุกวิชา ทั้งวิชาที่ชอบและไม่ชอบ เด็กควรได้มีโอกาสเลือกวิชาเรียนตาม ความชอบของตัวเอง และไปเรียนที่โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ตามความสนใจของเด็กเท่านั้น

คําตอบนี้ ทําให้มีการถกเถียงบนเวทีต่อ ในเรื่องของการศึกษา ว่าในอนาคต เราจะต้องสอนให้ 1 คน สามารถที่จะมีความรู้และทํางานได้ทั้งระบบ มากกว่าการแบ่งความรู้ และทํางานส่งต่อ ๆ กัน เพราะจะ ทําให้ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งไป งานจะไม่สามารถเดินต่อไปได้ แต่ในทางกลับกัน ถ้ามนุษย์เรา มีความ สามารถที่จะทําทุกอย่างได้จบในคนเดียว เมื่อมีคนมาเพิ่ม จะทําให้ความสามารถในการทํางานและได้ ผลผลิต ออกมาดีมากขึ้น ในขณะที่ถ้าใครหายไป งานก็จะไม่ถูกผลกระทบมาก

อีกหนึ่งการถกเถียง ที่ถือว่าเป็นคําถามสําคัญ ในประเด็นของการศึกษา คือ

การเรียน Homeschool หรือเข้าเรียนในโรงเรียน อะไรดีกว่ากัน

การเรียนนอกห้องเรียน หรือการเรียนที่บ้าน ที่เรียกว่า Homeschool เริ่มเป็นทางเลือกในการเรียนของ เด็ก และเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งน้อง ๆ ก็ได้ถกเถียงกัน ในประเด็นนี้ ว่าเด็กควรที่จะเรียนรู้แบบ ไหน เพราะทั้ง 2 แบบ ก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน

การเรียนแบบ Homeschool 

ข้อดีของการเรียน Homeschool คือ

  1. เด็กสามารถเลือกเรียนวิชาไหนก็ได้ ตามความสนใจ โดยไม่ถูกบังคับ เพื่อให้เด็กมีอิสระ
  2. เด็กสามารถเรียนเจาะลึกไปในด้านที่สนใจได้มากขึ้น ดีกว่าเรียนอย่างละนิด ละหน่อยของทุกวิชาใน โรงเรียน
  3. เด็กไม่จําเป็นจะต้องตื่นเช้า เพื่อไปโรงเรียน เข้าแถวเคารพธงชาติ
  4. เด็กจะมีอิสระเสรีทางความคิดและการใช้ชีวิตมากขึ้น ทําให้เด็กมีโอกาสเติบโตแบบธรรมชาติของ เด็ก และได้เรียนรู้ ฝึกการคิด ฝึกการตัดสินใจ

นอกจาก 4 ข้อข้างบน น้องภูมิเสริมว่า การเรียน Homeschool น่าจะเข้ามามีบทบาททางการศึกษามาก ขึ้น และถึงแม้การเรียนเองที่บ้านจะไม่มีคุณครูมาคอยสอน คอยแนะนํา คอยตอบคําถาม เด็กที่เรียน ด้วยตัวเองที่บ้าน ก็สามารถที่จะค้นหาคําตอบเองทาง อินเตอร์เนท ถามพ่อแม่ หรือสอบถามผู้รู้คนอื่น ๆ ซึ่งถือว่าเป็นอีกประสบการณ์ที่เด็กควรจะได้รับ และจริง ๆ แล้ว การเรียนรู้ เกิดขึ้นได้ทุกที่ เกิดขึ้นตลอด เวลา

การเรียนในโรงเรียน 

ข้อดีของการเรียนในโรงเรียน

  1. มีคุณครูคอยดูแล แนะนํา ให้คําตอบ เมื่อเรียนแล้วมีคําถาม
  2. เป็นการเรียนแบบ สื่อสารสองทาง มีการโต้ตอบ พูดคุย ซึ่งทําให้พัฒนาทักษาในการโต้ตอบได้ดีกว่า การเรียน ออนไลน์อยู่ที่บ้าน ที่เป็นการสื่อสารแบบทางเดียว
  3. โรงเรียนมีสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ให้เด็กได้เรียนรู้การเข้าสังคม และใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น มีเพื่อน มีคุณครู ผู้ใหญ่ และฝึกระเบียบวินัย

หลังจากถกเถียงข้อดีข้อเสียแล้ว น้องใบเตยปิดท้ายว่า การถกประเด็นนี้ว่า การเรียน Homeschool จะ เหมาะกับการเรียนในระยะแรก เพื่อให้ใกล้ชิดพ่อแม่ก่อน สร้างพื้นฐานความรัก ความคิด ให้ลูกก่อน ก ถึงจะควรพาเด็กเข้าโรงเรียน หลังจากที่มีพื้นฐานความคิดที่มั่นคงจากครอบครัว เพื่อให้ไปเจอกับ คุณครู เพื่อน ๆ ให้รู้จักสังคมเพราะถ้าข้าเรียนตั้งแต่เด็ก พ่อแม่อาจจะมีความคาดหวังว่าอยากให้ครู ดูแล และอาจจะทําให้ความสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่แน่นแฟ้นแข็งแรงเท่ากับพ่อแม่เลี้ยงดูเองอย่าง ใกล้ชิด

สุดท้าย สิ่งที่เด็ก ๆ อยากฝากให้กับผู้ใหญ่ และอยากให้โลกอนาคตเกิดขึ้น คือเรื่องของ

  • การลดการฆ่าฟัน หรือทําสงครามต่อกัน
  • ลดการถกเถียงกันในเรื่องที่ไม่จําเป็น
  • อยากให้ทุกคนอยู่กันด้วยความรัก ด้วยความคิดแง่บวก
  • อยากให้เรื่องของความเท่าเทียมกันทางเพศเกิดขึ้น ไม่มีการล้อเลียน กลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงในโรงเรียน หรือลดทอนสิทธิผู้หญิงในสังคม
  • ศึกษาและให้ความสําคัญกับ AI หุ่นยนต์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์

และสุดท้ายที่เด็ก ๆ ทุกคนเห็นตรงกัน คือเด็ก ๆ อยากให้ผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้เด็ก ได้ทําอะไรตามที่ อยากทํา โดยไม่ถูกควบคุมหรือปิดกั้นจากผู้ใหญ่ เพราะเด็กยังไม่มีอคติเท่าผู้ใหญ่ เด็กไม่กลัวความผิดพลาด อยู่ในวัยที่พร้อมจะเรียนรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลว ความเสี่ยงต่าง ๆ ในการได้ลงมือทํา ลองผิดลองถูก โดยไม่จําเป็นต้องรอให้เรียนจบ อย่างที่ผู้ใหญ่เคยคาดหวัง

ถือเป็นความคิดเห็นและการถกเถียงที่เข้มข้นไม่แพ้ session ต่าง ๆ ของผู้ใหญ่เลยทีเดียว แถมยังมีหลายอย่างที่ทําให้ผู้ใหญ่อย่างเรา ควรที่จะต้องเก็บมาคิด ว่าเราควรจะใช้ชีวิตกันอย่างไรในโลกอนาคต

แสดงความเห็น