“เราจะแน่ใจได้ยังไง ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวในจักรวาล”
จากข่าวฮือฮาที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกมายืนยันว่าคลิปวิดีโอที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ ถ่ายวัตถุประหลาดที่บินบนท้องฟ้าหรือ UFO ได้นั้นคือของจริง! ซึ่งคลิปเหล่านั้นได้ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อไปตั้งแต่ปี 2007 ถึงปี 2018 แล้ว และถึงแม้ว่าคลิปนี้จะเป็นคลิปจริง แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าวัตถุประหลาดนั้นคืออะไร? แต่หากเป็นยานพาหนะของใครที่ไม่ใช่มนุษย์โลก นี่อาจจะเป็นแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ ให้รับรู้การมาของ “มนุษย์ต่างดาว”
มีประโยคหนึ่งในหนังเรื่อง MIB ที่จำขึ้นใจ “มียานรบต่างดาว โรคระบาดข้ามกาแล็กซีมาตลอด แต่ทางเดียวที่จะทำให้มนุษย์อยู่อย่างมีความสุขต่อไปได้ คือการไม่รู้อะไรเลย” ทำให้รู้สึกกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์ต่างดาวอาจจะมาเยือนโลกหลายครั้ง อาจจะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคน แต่เราแค่ไม่รู้เท่านั้นเอง (หรือเราจะโดนลบความจำ 555) ดูเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ก็อดสงสัยและอยากรู้ไม่ได้จริง ๆ เลยอยากชวนทุกคนหาคำตอบเรื่องนี้ไปพร้อมกัน
จักรวาลนี้จะมีดาวที่เหมือนโลกหรือใครที่เหมือนเรา?
เพียงแค่ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกที่เราอยู่ ก็ดูจะยิ่งใหญ่เกินที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีดาวอยู่ประมาณ 1-4 แสนล้านดวง ในจักรวาลที่ดูจะไม่มีที่สิ้นสุดก็มีกาแล็กซี่อยู่อีกประมาณ 1-4 แสนล้านกาแล็กซี่ ลองคำนวนดู ดาวทั้งหมดในจักรวาล จะอยู่ที่ประมาณ 10 ยกกำลัง 22 ถึง 10 ยกกำลัง 24 ดวง
โลกของเราเหมือน 1 ในฝุ่นผงของจักรวาล
เมื่อมีดาวเยอะขนาดนี้ก็เป็นไปได้ว่าต้องมีดาวที่เหมือนดวงอาทิตย์อยู่ โดยความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้มีข้อสรุปว่าจะมีอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ก็คาดการณณ์ว่าจะมีดาวที่คล้ายกับดวงอาทิตย์อยู่ประมาณ 5% ถึง 20% แสดงว่าอย่างน้อย ๆ จะมีดาวที่มีขนาด อุณหภูมิและความสว่างใกล้กับดวงอาทิตย์ถึง 500 ล้านล้านดวง
และเมื่อมีดวงอาทิตย์ก็ย่อมมีดาวที่คล้ายโลก โดยงานวิจัยจาก PNAs ให้ข้อมูลว่ามีดาวที่มีลักษณะคล้ายโลกอยู่ประมาณ 22% หรือประมาณ 100 ล้านล้านล้านดวง และหาก 1% ของดาวเคราะห์เหล่านั้นมีโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาเหมือนมนุษย์อยู่ ก็จะเกิดเป็นอารยธรรมของสิ่งมีชีวิตที่เหมือนมนุษย์หรือเหนือมนุษย์อยู่นับไม่ถ้วน
เมื่อลอง ๆ คิดดูแล้ว โลกของเรามีอายุประมาณ 4,500 ล้านปี ตั้งแต่เกิด Big Bang ส่วนกาแล็กซี่ทางช้างเผือกมีอายุประมาณ 13,000 ล้านปี แล้วจักรวาลอื่น ๆ ดาวอื่น ๆ ที่มีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่อยู่มาก่อนเรา จะก้าวนำเราไปถึงไหนแล้ว?
ความเจริญของอารยธรรม ที่มนุษย์ไม่ได้เป็นที่ 1
Nikolai Kardashev นักดาราศาสตร์ชาวรัสเซียได้คิดค้น Kardashev scale เครื่องมือในการจัดกลุ่มอารยธรรมของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา โดยวัดจากพลังงานที่ใช้ มนุษย์โลกจะอยู่กลุ่มไหน ไปดูกันค่ะ
ภาพจาก Facebook: Space Matrix
-
Civilization type I
คืออารยธรรมที่สามารถใช้และควบคุมพลังงานจากดาวเคราะห์ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ อย่าง น้ำ แร่ธาตุ พลังงานธรรมชาติ พลังงานจากดวงอาทิตย์ เดินทางท่องอวกาศ หาอาณานิคมใหม่ แต่ทั้งนี้แม้นี่จะเป็นขั้นเล็กสุดของระดับอารยธรรม แต่โลกของเรายังไปไม่ถึง เรายังอยู่ในขั้น 0.7 ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาพัฒนาอีกประมาณ 1,000 ปี เราก็จะก้าวเข้าสู่ Type I แบบเต็มตัว
-
Civilization type II
ในขั้นนี้จะพัฒนาขึ้นจากขั้นแรกระดับหนึ่ง คือสามารถใช้พลังงานทั้งหมดของดาวฤกษ์ของตัวเองได้ นึกภาพว่าเราไม่ได้ใช้พลังงานแค่ของดาวตัวเองแล้ว แต่ไปดึงของดาวอื่น ๆ มาใช้ได้ด้วย ระดับสติปัญญาของสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้คงน่าทึ่งมาก ๆ ขนาดเราเองยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะไปเอาพลังงานดาวอื่นมาใช้ได้ยังไง แต่ก็มีคนที่คิดว่าอาจจะใช้ Dyson Sphere ที่เป็นทรงกลมขนาดใหญ่ครอบคลุมดาวฤกษ์เอาไว้ แล้วดักพลังงานนั้นมาใช้
-
Civilization type III
ขั้นสุดของระดับอารยธรรมที่ไม่รู้อีกกี่ล้านปีเราจะไปถึง 555 ซึ่งดาวเหล่านั้นจะอยู่กันเป็นอาณานิคม ครองกาแล็กซี่ และดึงพลังงานจากทั้งกาแล็กซี่ไปใช้ได้ มีการเดินทางที่หลุดพ้นข้อจำกัดของความเร็วแสง ไปเที่ยวดาวเพื่อนบ้านได้เหมือนเราไปต่างประเทศเลย
ถ้ามนุษย์ต่างดาวมีจริง ทำไมไม่ปรากฎตัวให้เราเห็น?
การที่เราไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีอยู่ แล้วถ้าเขามีจริง เขาไปไหนกันหมด ทำไมไม่มาทำความรู้จักกันบ้างล่ะ? นักฟิสิกส์ผู้ประดิษฐ์เตาปฎิกรณ์นิวเคลียร์คนแรกของโลก “Enrico Fermi” ก็เกิดคำถามนี้เช่นเดียวกัน และเกิดเป็นทฤษฎี Fermi Paradox ที่มีความขัดแย้งในตัว และยังหาคำตอบที่แน่นอนไม่ได้ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน
-
อารยธรรม Type II และ III ไม่มีจริง
สำหรับข้อนี้อิงจากว่าในเมื่อเราไม่เคยเห็น ไม่เคยเจอ จับสัญญาณนอกโลกแล้วไม่พบอะไร ก็หมายความว่าไม่มีใครที่พัฒนาและเจริญไปถึงขั้น Type I และ Type II ได้ เพราะมี The Great Filter หรือที่กรองการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตในจักรวาล เป็นเหมือนเหตุการณ์แปลกประหลาดที่จะทดสอบว่าเราสามารถก้าวข้ามไปสู่อีกอารยธรรมหนึ่งได้รึเปล่า ซึ่ง The Great Filter อาจจะมาในรูปแบบของภัยพิบัติ สงคราม โรคระบาด ดวงอาทิตย์ดับ อุกกาบาตพุ่งชนโลก หรืออะไรก็ตามที่ท้าทายความสามารถในการรับมือของเรา หากเราก้าวได้ก็ผ่านไป ก้าวไม่ได้ก็ตาย แล้ว The Great Filter จะเกิดขึ้นตอนไหน? สันนิษฐานได้ 3 ประเด็นด้วยกันคือ เราเป็นพวกที่ผ่าน The Great Filter มาแล้ว, เราเป็นพวกแรกที่มีปัญญา หรือ เราไม่รอดแน่ (บางที่โลกเราอาจจะผ่าน The Great Filter มาแล้วด้วยการวิวัฒนาการจากลิงเป็นมนุษย์)
-
อารยธรรม Type II และ III มีจริง
ขัดแย้งกับข้อแรกแบบสุด ๆ เพราะนี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ซึ่งข้อนี้อิงจากความเชื่อในความธรรมดา คือแม้เราจะจับสัญญานจากนอกโลกแล้วไม่เจออะไร ซึ่งจับได้เพียง 100 ปีแสงจากเราเท่านั้น (คิดเป็น 0.1% ของความกว้างกาแล็กซี่) ก็ไม่ได้แปลว่าในระยะที่ห่างออกไปอีกจะไม่มีใครที่ฉลาดและวิวัฒนาการสูงกว่าเรา พวกเขามีอยู่จริง แต่การที่พวกเขาไม่มาให้เราเห็นสันนิษฐานเป็นเหตุผลได้ดังนี้
- พวกเขาอาจจะเคยมาที่โลกก่อนมีมนุษย์ (ตอนนั้นเราอาจจะเป็นไดโนเสาร์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่)
- อาจมีการสร้างอาณานิคมกาแล็กซี่แล้ว แต่เราอยู่ชายขอบ ชายแดน เลยไม่รู้
- การล่าอาณานิคมเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อยากทำ เพราะเมื่อสร้างทรงกลมรอบดาวฤกษ์เก็บพลังงานเองได้ จะไปยุ่งกับดาวอื่นทำไม
- เราเองยังกลัวมนุษย์ต่างดาวมายึดโลก เขาก็กลัวเหมือนกันเลยไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ถึงการมีอยู่
- มีอารยธรรมที่ฉลาดมาก ๆ และเป็นนักล่า เมื่อใครเริ่มวิวัฒนการการถึงก็จะกำจัดทันทีทฤษฎีนี้นำไปสู่แนวคิดว่า ใครที่เป็นกลุ่มแรกในกาแล็กซี่ที่วิวัฒนาการถึงขั้นฉลาดก่อนก็ถือว่าชนะ และนี่ก็จะเป็นเหตุผลอธิบายว่าทำไมเราถึงไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรนอกโลก
- จริง ๆ แล้วมีคามเคลื่อนไหวมากมาย แต่เทคโนโลยีของเราไปไม่ถึง
- มนุษย์ต่างดาวอาจติดต่อมาแล้ว แต่รัฐบาลปิดบังไว้
- อารยธรรมที่เหนือกว่าเรา รู้ว่าเราอยู่ที่นี่และกำลังเฝ้าดูเราอยู่
- เราล้าหลังเกินกว่าจะรับรู้ว่าเขามีอยู่
- เราเข้าใจผิดทั้งหมดเลยเกี่ยวกับสภาพความเป็นจริง เราอาจจะเป็นแค่เอเลี่ยนที่ถูกเอามาทดลองที่นี่
อนาคตระหว่างเราและมนุษย์ต่างดาว
ภาพจาก https://www.scienceabc.com/nature/universe/what-is-the-great-filter.html
ที่เล่าไปทั้งหมดนั้นเป็นเพียงทฤษฎี ยังไม่มีข้อพิสูจน์จริง ๆ ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงอยู่ดีว่าในจักรวาลที่กว้างใหญ่นี้ไม่ได้มีแค่เรา หรือไม่แน่ว่าเราอาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่พวกเขาตามหาอยู่ก็ได้ หากว่าในคลิปจากกองทัพสหรัฐฯ นั้นเป็นยานพาหนะของสิ่งมีชีวิตนอกโลกจริง ๆ เราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขามีจุดประสงค์อะไร แค่มาเยี่ยมชม หรือมุ่งหมายที่จะทำลาย เชื่อว่าอนาคตข้างหน้าเมื่อเทคโนโลยีของเราพัฒนามากพอเราจะไขปริศนานี้ได้แน่นอน เมื่อถึงวันนั้น เรากับมนุษย์ต่างดาวอาจจะอยู่ร่วมดาวเดียวกันก็ได้ เรามาติดตามกันต่อไปนะคะ
ขอบคุณเครื่องมือจาก : ZOCIAL EYE
ขอบคุณข้อมูลจาก https://waitbutwhy.com/2014/05/fermi-paradox.html