Libra คืออะไร? เขย่าวงการการเงินทั่วโลกยังไง!

กระแสร้อนแรงที่ทุกคนจับตามองในโลกออนไลน์ตอนนี้ คงหนีไม่พ้น “Libra” หรือ Facebook Coin Cryptocurrency ที่จะมาสั่นสะเทือนวงการสถานบันการเงินทั่วโลก จากอดีตที่เราใช้เงินที่จับต้องได้ เป็นเหรียญ เป็นธนบัตร จนเปลี่ยนมาเป็นกระเป๋าเงินออนไลน์ ใช้ QR Code แต่ตอนนี้กำลังจะเป็นอีกก้าวสำคัญ การใช้จ่ายผ่านเงินอิเล็กทรอนิกส์ แล้ว “Libra” จะมาเขย่าวงการการเงินทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนยังไง?

ทางทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับ ผู้เชี่ยวชาญด้านเหรียญดิจิทัลและบล็อกเชน เจ้าของเพจ Coinman เลยเก็บมุมมองที่น่าสนใจมาฝากเพื่อน ๆ ในบทความนี้กันค่ะ

Facebook coin คืออะไร? เริ่มเปิดใช้แล้วยัง? จะมาเมื่อไหร่?

Facebook Coin หรือเหรียญ Libra คือสกุลเงินดิจิตอลที่สร้างมาในรูปแบบของ Cryptocurrency ที่มีมูลค่าคงที่หรือ Stable Coin (เก็งกำไรไม่ได้) ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถถือและโอนเงินได้โดยไม่พึ่งตัวกลางเช่น ธนาคาร และสามารถโอนได้อย่างไร้พรมแดน

ไอเดียก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามบนโลก ถ้ามีเพียงมือถือและอินเตอร์เน็ต สามารถเข้าถึงระบบการเงินนี้ได้ และในที่สุดจะใช้เงินสกุลนี้เป็นเสมือน Global Currency ในยุคอินเตอร์เน็ต (คนมีมือถือกับอินเตอร์เน็ตเยอะกว่าคนที่มีบัญชีธนาคารซะอีก)

ระบบการเงินและสกุลเงินใหม่นี้ที่จะมาตัดธนาคารและสถาบันการเงินออกไป จะถูกควบคุมโดย Facebook และกลุ่มสมาคมไม่แสวงผลกำไร Libra Foundation โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายเป็นสมาชิก และมีกำหนดการเปิดตัวในปี 2020

Credit: imore.com

ใช้จ่ายยังไง? QR Code หรอ? หรือใช้แอปฯ

หลายคนอาจคิดว่า Facebook นั้นสุดยอดมาก ต้องการทำเพื่อให้พวกเรามีอิสระภาพทางการเงินจากธนาคาร แต่ในความเป็นจริง ธุรกิจก็คือธุรกิจ

เพราะการใช้จ่ายต้องดำเนินการผ่านแอปฯ และ 3 แอปฯแรกที่จะใช้ได้ ก็อยู่ในเครือของ Facebook ทั้งสิ้น

  • Facebook Messenger
  • WhatsApp
  • Calibra

หลายคนอาจไม่รู้จัก “Calibra” แอปฯนี้จะเป็นเหมือน E-wallet มีไว้สำหรับคนที่อยากใช้เงิน Libra แต่ไม่อยากให้ Facebook เห็นข้อมูลธุรกรรมการเงินของเรา (ข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่ธนาคารและธุรกิจการเงินหวงมาก ๆ มีค่ามหาศาล)

เหมือน Alipay รึเปล่า?

ในแง่การใช้งานแทบไม่ต่างกันเลยกับ Alipay หรือ Line Pay แต่จะไร้ข้อจำกัดกว่าเช่น

  • Alipay ใช้ในจีน Line Pay ใช้ในไทย แอปฯ ฮิตกันแค่ในแต่ประเทศ และไม่มีการ Cross-pay ข้ามกันได้ ทำให้ใช้ได้ในวงแคบเท่านั้น
    • แต่ Facebook มีคนใช้ 2 พันล้านคนทั่วโลก แม้จะไม่มีแอปฯ ก็สามารถใช้ E-Wallet อย่างเดียวก็ได้ แปลว่าคนที่ไม่มี Facebook ก็ใช้ได้ และคาดว่าจะมีคนใช้งานมากกว่า Alipay แน่นอน
  • Alipay / Line pay ยึดค่าเงินของแต่ละประเทศ ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการซื้อของหรือโอนเงินต่างประเทศเพราะผู้รับไม่อยากรับสกุลเงินอื่น มีความยุ่งยากและแพงในการแปลงเป็นสกุลเงินที่ต้องการ
    • Libra นั้นเป็นสกุลเงินแยกของตัวเองเลย ซึ่งเชื่อว่าต่อไปแต่ละประเทศจะมี Exchange Rate ของ Libra กับค่าเงินตัวเอง ดังนั้นรับเงินจากไหนในโลกก็ได้ แล้วค่อยเอาไปแลกเอง (หรือใช้ Libra ต่อโดยไม่ต้องแลกก็ได้)
  • Alipay ยังต้องมีการเชื่อมบัญชีธนาคาร (Top-up) เข้าไป ส่วน Line Pay ก็ไม่ต่างกัน
    • Libra น่าจะมีช่องทางการเข้าถึงได้มากกว่า เนื่องจากเป็น Cryptocurrency เราอาจซื้อมาเก็บไว้ในตลาดเทรดที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องผ่านธนาคาร
  • Alipay ผู้ใช้ต้องยึดตามกฎของบริษัท เช่น ลิมิตในการโอนต่อครั้ง, ลิมิตในการเก็บเงินบนนั้น (อย่างจีนจะหนักกว่าโดยมีการ monitor transaction และบังคับให้มีเงินบนนั้นได้ไม่เยอะหรือโอนได้ไม่เยอะ ไม่งั้นคนเลิกใช้ธนาคาร)
    • สำหรับ Libra จะไม่มีปัญหาทั้งหมดนี้ครับ เพราะเป็น Cryptocurrency เราสามารถเอามาใช้งานได้อย่างอิสระไม่มีลิมิต พูดง่าย ๆ มันคือ Alipay version Global ที่เปิดกว้างมากกว่า และไม่ยึดกับสกุลเงินหรือเอื้อประโยชน์ให้ประเทศใดประเทศหนึ่ง

Credit: ForexNewsW.com

เหมือนมันรวมหลายสกุลเงินถึงจะเป็น 1 Facebook Coin แบบนี้แปลว่าเหรียญนึงจะมีมูลค่าสูงเลยรึเปล่า?

Libra นั้นอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Stable Coin

ขออธิบายคร่าว ๆ ก่อนว่า ปกติแล้ว Stable Coin จะมีเงินสกุลเดียวค้ำ เช่นเดียวกับ USDT หรือ US Dollars Tether ที่ 1 USDT จะเท่ากับ 1 USD ที่ค้ำอยู่ในธนาคารเสมอ (1:1 นั่นเอง)

ความพิเศษของ Libra คือมันเป็นเงินที่ค้ำด้วยเงินสำรองหรือ Reserve ของสมาคม Libra ซึ่งใน Reserve เนี่ย จะมีเงินรัฐหลายสกุลอยู่ หรือต่อไปจะมีสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำชนิดอื่น อย่างเช่นธนบัตรรัฐ

Libra จะมั่นคงเนื่องจากค้ำด้วยเงินหลายสกุล หากเงินสกุลใดสกุลหนึ่งเกิดปัญหาเสื่อมค่าจากอัตราแลกเปลี่ยน มูลค่าส่วนอื่นจากค่าเงินอื่นที่เหลืออยู่ไม่ได้เสื่อมด้วย

สำหรับราคา Libra แต่ละประเทศน่าจะมีเรท Libra กับสกุลเงินของประเทศตัวเอง

แบบนี้ใช้ฟอกเงินได้เปล่า?

มีความเป็นไปได้ แต่ Facebook เองเหมือนจะมีการบังคับให้ใช้ Goverment ID ในการยืนยันตัวตนก่อนใช้งาน แปลว่าคนคงไม่กล้ามาใช้ฟอกเงินเท่าไหร่ เสี่ยงเกินไป

ข้อดี/ข้อเสีย

ข้อดี

  • ผู้บริโภคและร้านค้ารายย่อย สามารถใช้ Libra ซื้อขายใช้จ่ายได้อย่างสะดวกสบาย
  • การใช้จ่ายที่ไร้พรมแดนเข้ากับโลกอินเตอร์เน็ต
  • การลดตัวกลางเช่น สถาบันการเงินต่าง ๆ ลด Cost และทำธุรกรรมรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว
  • การมีสินทรัพย์ใหม่ที่สามารถเก็บในโลกดิจิตอลและคงมูลค่าได้
  • โอกาสในการนำเงินดิจิตอลไปปล่อยกู้หรือลงทุนอื่น ๆ ในตลาดโลกที่เมื่อก่อนทำไม่ได้เพราะติดกฎหมายและพรมแดนสกุลเงิน (ผลตอบแทนจะดีกว่าฝากธนาคารแน่นอน ปกติคนไทยก็มีโอกาสแค่สินค้าการเงินในไทยเท่านั้น มันไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว)

ข้อเสียฝั่งภาครัฐและธุรกิจ

  • รัฐควบคุมยากขึ้น เก็บภาษียากขึ้น สูญเสียการควบคุม ไม่ต่างจากการเข้ามาของ Internet
  • เงินบาทหรือสกุลเงินประเทศอื่นสูญเสียความสำคัญ เพราะเราบังคับให้คนถือเงินบาทไม่ได้แล้ว เค้ามีทางเลือกเก็บเงินอื่นที่สามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระ
  • ธุรกิจการเงินจะถูกปรับตัวครั้งใหญ่ เพราะในขณะที่พวกธนาคารอยากจะใช้ Blockchain มาทำให้โอนเงินกันเร็วขึ้น จะได้รายได้จากลูกค้ามากขึ้น Libra มันมาทำให้คนเลิกถือเงินและใช้ธนาคารไปเลย
  • ธุรกิจ Online Marketplace ในไทย ที่พยายามจะสร้างตลาดกลางให้คนไปซื้อขายกัน โดยทำให้จ่ายเงินง่ายที่สุด แต่กลับมาเจอ Facebook ทำทั้ง Marketplace และ Payment แข่ง แถมนึกภาพว่ายิงโฆษณาบน Facebook แล้วกดซื้อจบบนนั้นได้เลย กลุ่มนี้มีหนาวแน่

ข้อเสียฝั่งผู้ใช้

  • สรุปคือเราเปลี่ยนจากฝากชีวิตกับธนาคารเป็นฝากชีวิตกับบริษัทใหญ่ 20 กว่าแห่งทั่วโลก
  • ข้อมูลการเงินของเรามีมูลค่ามหาศาล นึกภาพเวลาธุรกิจต้องการยิงโฆษณา แล้วสามารถเลือก target จากพฤติกรรมการจ่ายเงินของเราได้ด้วย เช่น
    • ใครซื้อของชนิดไหนจริง ๆ (ไม่ใช่แค่คลิก)
    • ใครซื้อของบ่อยขนาดไหน
    • ใครมีกำลังซื้อเท่าไหร่ (พ่อค้าแม่ค้าสามารถเจาะกลุ่มยิงไปหาผู้ที่มีกำลังซื้อโดยตรงได้เลย)
Credit: interset.co.th

ความปลอดภัยมีแค่ไหน?

Blockchain คือการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ ซึ่งคราวนี้เราพูดถึง 20 กว่าบริษัทที่มาเก็บข้อมูลให้เรา

มันอาจจะดูเยอะนะ แต่ถ้ามีคนสามารถเข้าถึงบริษัทเหล่านี้ได้เกิน ⅓ ข้อมูลการเงินก็อาจโดนแก้ไขได้

เมื่อเทียบกับ Bitcoin ที่มีคนเก็บข้อมูลหลักหมื่นกระจายอยู่ทั่วโลกที่เราไม่รู้ว่าเป็นใคร ความปลอดภัยมันจึงคนละเรื่องเลย

อีกเรื่องที่อยากไฮไลท์ก็คือความปลอดภัยในแง่ข้อมูลส่วนตัวของเรา อยากให้ลองถามตัวเองว่าเราเชื่อใจ Facebook กับข้อมูลส่วนตัวเราไหม

และถาเป็นคนเดียวกันมาดูแลเงินของเรา มันจะเป็นยังไง เราจะสบายใจไหม

เมืองไทยจะมีใช้มั้ย?

อาจจะได้ใช้ค่ะถ้าไม่ติดเรื่องกฎหมายของประเทศ ซึ่งส่วนมากประเทศที่กฎหมายเคร่งครัด Facebook ก็อาจตัดสินใจข้ามไป หรือรอ Apply licence

ส่วนประเทศอย่างไทยและอื่น ๆ ที่กฎหมายไม่เคร่งมาก หรืออาจเรียกว่ากฎหมายตามไม่ทัน Facebook ก็ฉวยโอกาสเปิดไปก่อนได้ ถือเป็นการแทรกแซงค่าเงินและเศษฐกิจประเทศนั้น ๆ ได้เลย นึกภาพเราใช้ Libra โอนซื้อของกัน ใช้จ่ายได้ทุกที่ ความจำเป็นแลกกลับเป็นเงินบาทก็ลดลง

Credit: Bitcoinist

ผลดีหรือผลเสียกับ Bitcoin

Libra นั้นจริง ๆ เข้ามาเพื่อฆ่าธนาคารและตัวกลางทางการเงินในโลกเก่าซะมากกว่า เราจะเห็นปรากฎการณ์ที่เรียกว่า บริษัทอินเตอร์เน็ตกลืนบริษัทใหญ่ ๆ แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นบริษัท มันมี Hidden Agenda เพราะบริษัทที่มาร่วมวง Libra นี้ ที่แน่นอนว่าไม่ได้มาร่วมเพื่อการกุศล

ตัวอย่างว่าทำไม Libra นั้นเป็น Global Currency ไม่ได้:

  • เราไว้ใจ Facebook ไม่ได้ ขนาดข้อมูล Profile Data ของพวกเรายังไม่มีรั่วไหล  
  • Libra อาจถูกภาครัฐคุกคามหรือสั่งบล็อค พูดง่าย ๆ ก็คือไม่มี Censorship Resistance
  • Global Currency ต้องเปิดให้ทุกคนใช้อย่างเท่าเทียม (Open & Equal) ไม่ใช่ต้องมานั่ง KYC ผ่านบริษัทเอกชนแล้วรอเค้าอนุญาติให้ใช้ (บางประเทศก็คงใช้ไม่ได้ แบบนี้จะต่างยังไงกับ PayPal)

ผมมองว่า “Libra นั้นเป็นสิ่งที่ดีกับ Bitcoin และ Cryptocurrency อื่น ๆ”

ผมเคยคิดมานานว่าอะไรจะเป็นตัวเชื่อมเทคโนโลยีอย่าง Bitcoin กับคนทั่วไปได้ เพราะมันยากเหลือเกินสำหรับคนธรรมดาจะมาใช้ ในยุคอินเตอร์เน็ต เราก็มี iPhone นี่แหละครับ และ app store ที่ทำให้เกิด Internet Boom และมีเซอวิสใหม่ ๆ มากมาย

สำหรับ Bitcoin แล้ว ผมคิดว่ามันคือ Libra ครับ ซึ่งเป็นเหมือน Trojan Horse (ภาพยนต์เรื่อง Troy) ที่จะเข้ามาทำให้คนทั่วไปหัดใช้กันจนชิน แล้ววันหนึ่งพอรู้ข้อด้อยของ Libra เค้าก็จะไปหาของจริง หาสกุลเงินที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของไม่ต้องพึ่งบริษัทใด ๆ สกุลเงินที่เป็นกลาง ทุกคนใช้ได้อย่างอิสระและเท่าเทียม สกุลเงินที่ไม่มีใครสามารถบล็อคได้หรือเซนเซอร์มันได้ เช่น Bitcoin นั่นเอง

หรือไม่งั้น อย่างน้อยเค้าก็เลือกมันเป็นสินทรัพย์ทางเลือกหนึ่งที่ไว้รักษามูลค่าระยะยาว ซึ่งตอนนั้นมันก็ง่ายละ เพราะเค้าใช้ Cryptocurrency เป็นแล้ว (เราอาจเห็นในเคสที่คนใช้ Libra เป็นสกุลเงินใช้จ่ายรายวัน แต่สำหรับ Saving ระยะยาวก็จะเลือกสินทรัพย์อื่นอย่าง ฺBitcoin)

แสดงความเห็น