TED talk : ใครรักการเรียนรู้/พัฒนาตัวเองคงคุ้นเคยกับชื่อนี้เป็นอย่างดี เป็นงาน Talk ที่วางใจได้ว่าเจ๋ง และ Idea worth spreading มีในหลายชาติ หลายภาษา
สำหรับประเทศไทย ปีนี้เป็นปีที่ 2 แล้ว และเฟื่องก็มีโอกาสได้ร่วมงาน Talk ดีๆอย่างนี้ทั้ง 2 ครั้ง
“TEDxBangkok: Learn, Unlearn, Relearn” เป็นธีมของปีนี้
แค่ฟังชื่อก็ตื่นเต้นแล้ว เพราะเฟื่องมีความเชื่ออยู่แล้วว่า การจะประสบความสำเร็จได้ เราต้องพร้อมเป็นนักเรียนตลอดชีวิต โลกคือห้องเรียน และผู้คน(โดยเฉพาะที่ต่างจากเรา)นี่แหละอาจารย์
การเรียนรู้ ประกอบไปด้วยการที่เราอาจต้องเลิกยึดถือมายาคติ หรือความเชื่อบางอย่าง และพร้อมเปิดใจรับมุมต่างในเรื่องเดียวกัน
ปีที่แล้ว ประทับใจมาแล้ว มีหลาย Talk ที่เปลี่ยนชีวิตจริงๆ ทวิตฯสดจากงานไปด้วย และแค่ประโยคสั้นๆที่เราจับใจความจาก Speaker มาถ่ายทอดต่อไปสู่คนในโซเชียล ยังมีคน retweet กันแบบถล่มทลาย ดังนั้นเฟื่องเชื่อจริงๆว่าสิ่งเหล่านี้สร้างอิมแพค เราได้รับพลังจากใน Hall เราก็อยากเป็นส่วนนึงในการส่งต่อแรงกระเพื่อมนี้ไปสู่คนหมู่กว้างขึ้น
ทอล์กที่ประทับใจหนักๆจากปีที่แล้วที่พอจำได้คือ: พี่สิงห์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล/คุณพล หุยประเสริฐ ผู้ทำคอนเสิร์ตเจ๋งๆของไทยมานักต่อนัก/กฤษณ์ สงวนปิยะพันธ์ ผู้กำกับละครเวทีเพื่อผู้พิการทางสายตา และผู้ก่อตั้ง Blind theatre/พี่บี๋ อริยะ พนมยงค์ กับมุมมองโอกาสของเมืองไทยใน Tech Industry (สมัยนั้นพี่บี๋ยังอยู่ Google)/พี่หมู Ookbee หนึ่งในไอคอนสตาร์ทอัพเมืองไทย/พิเชษฐ์ กลั่นชื่น กับเรื่องนาฎศิลป์ไทยที่ไม่จำเป็นต้องยึดในกรอบ Free form ท้าทายขนบเดิมๆ กล้าที่จะเปลี่ยนและประสบความสำเร็จมากกับเมืองนอก (เอารองเท้าวางบนหัวด้วย ฮือฮามากตอนนั้น) /ครูจอย Teach for Thailand/ภูริน พานิชพันธ์ Creative Director แห่ง Museum of Interactive Art ที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา
ตัวอย่างทวิตฯจากปีที่แล้ว
ปีนี้ แน่นอน ตั้งแต่ทราบข่าวก็ตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่าเราต้องมาให้ได้
และ ไม่เพียงแต่ไม่ผิดหวัง ครั้งนี้ต้องชมว่า TEDxBangkok 2016 “เกินความคาดหวัง”
สถานที่จัดเปลี่ยนมาใช้เป็นโรงละคร Kbank สยามพิฆเนศ (ปีที่แล้วอยู่ที่อักษรา คิงพาวเวอร์)
ปีที่2 แล้ว ทีมสตรองขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ดีมากทุกอย่างตั้งแต่การโปรโมทลงสื่อโซเชียล ทยอยเผยคอนเทนต์
ทีม PR การติดต่อประสานงาน เรื่อยมาจนถึงวันงานจริง
พื้นที่ชั้น 7-8 ของโรงละครถูกเนรมิตให้เป็นพื้นที่แห่ง TEDxBangkok ทั้งหมด
มีซุ้มกิจกรรมสนุกๆให้เล่น ไม่ได้แค่มาเพื่อฟัง Talk อย่างเดียว แต่ทุกโซนถูกจัดอย่างพิถีพิถันทั้งหมด
(เฟื่องขอสารภาพว่าเฟื่องไปร่วมงานสาย เพราะวันก่อนหน้านั้นทุ่มเวลาทั้งวันไปงาน Demo Day ของ Dtac หมดแรง)
แต่กระนั้นก็มีอะไรให้ทำเพลิน ดูเพลิน และที่สำคัญเข้าโรงละครไปชมไม่ได้ ก็มีโซนให้เรานั่งชมถ่ายทอดสดจากข้างนอก นั่งนอนได้ตามสบาย
และอีกกิมมิคก็คือด้านนอก มี illustrator ที่วาดภาพสดๆสรุปทอล์กของแต่ละ Speaker ไปด้วยเป็นแผนภาพ ซูมจออยู่ข้างๆกันแบบนี้เลย เจ๋งดี
นอกจากนี้ก็ยังมีบูธซุ้มฝึกพากย์การ์ตูน เข้าไปพากย์คู่กะเสียงน้าต๋อย เซมเบ้ (หนึ่งใน Speaker ของปีนี้ที่สร้างเสียงฮือฮาได้ดี) มีซุ้ม photo print ซึ่งที่นี่เป็นที่แรกที่เฟื่องเข้าไปขลุก เพราะปกติตามอีเวนต์เราก็จะคุ้นกับบูธปรินต์ภาพแบบคลาสสิกๆ เช่น ติด Hashtag ชื่องานในไอจี แล้วรูปก็จะมาอยู่ที่จอ สั่งปริ้นท์ได้
แต่นี่เป็นความแอดวานซ์ไปอีกขั้น! คือมาเป็น file ดุ๊กดิ๊กได้/ถ่าย 3 ช็อตได้/ ปริ้นต์ได้(แต่มันจะแยกๆออกมาเป็นช็อตภาพนิ่ง) แต่ถ้าอยากได้เป็น Animated file ก็ส่งเข้าเมลได้
และที่ตลกมากคือ ขณะกำลังก้าวเข้าไปสำรวจความสนุกนั้น… เจอหน้าตัวเองเป็นรูปตัวอย่างของบูธจ้าาาา 555555 (ขอบพระคุณพี่เจ้าของมา ณ ที่นี้)
เล่นวนไปค่ะ 555
โอเคพอ! เข้าเรื่องต่อ!
ยังพูดถึงเรื่องรอบๆงานอยู่.. เราสัมผัสได้ถึงความใส่ใจ พิถีพิถันจริงๆของงานนี้ ทุกอย่างไม่มีอะไรธรรมดา
อาหาร/ของว่าง ทุกอย่างมีความฮิป อย่างเช่นอาหารก็เป็นอาหารธีมอาเซียนนานาชาติ ให้เลือกตามใจชอบ
กาแฟก็เป็น Cold Brew ติดป้าย TED จาก ROAST งี้ (ถ่ายรูปมาไม่ทัน กินหมดก่อน)
ระบบการจัดการปีนี้ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างลื่นไหล Staff เตรียมพร้อม แสตนด์บายกันแน่นในทุกจุด ไม่ปล่อยให้ผู้ร่วมงานมายืนงงๆ คนเยอะจริง แต่การจัดโซน จัดคิว ต่อแถวแลกอาหาร/ของว่างก็ทำได้ดี ไม่มีใครหงุดหงิด
เรื่องของระบบเสียง และการออแกไนซ์งานก็เยี่ยม ไมค์ส่งต่อรองรับกันทุกพาร์ท ไม่มี Dead Air อันนี้ต้องขอชมจริงๆ
——————————————
มาที่เรื่องของ TALK และบนเวทีกันบ้าง
ปีนี้มีความพิเศษ:
– Localised มากขึ้น: ปีที่แล้วทอล์กส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ (หรืออย่างน้อยก็เกิน 1 ใน 3 ถ้าจำไม่ผิด) ซึ่งมันก็โอเคดูอินเตอร์ดี แต่พอเป็นภาษาไทยแล้ว เฟื่องว่ามันเข้าถึงใจคนไทยได้ดีกว่า
– มีการแสดง: ปีที่แล้วเป็น 18 Speakers บทเวทีมีแต่ Talk ล้วนๆ แต่ว่าปีนี้เพิ่มการแสดงเจ๋งๆที่เป็นมุมแปลกๆแต่(โคตร)น่าสนใจมาด้วย ทำให้มีสีสันมากขึ้น สนุกขึ้น ไม่ได้มีแต่เนื้อหาหนักๆ
บางกอกสวิง: ทำไมผู้ใหญ่ถึงมีพื้นที่สนุก และปลดปล่อยโดยไม่โดนตัดสินไม่ได้
อีสานโซล (ร้องหมอลำแต่เป็นสไตล์โซล ดนตรี และเสียงแน่นมากกก ฟินมากกก)
Rap is Now: มันส์ด้วย แต่ที่เข้มข้นกว่าคือเนื้อหาเพลงแร็พ จังหวะในการสื่อสาร การเล่นเสียง/จังหวะ หนักเบา ส่งพลังมาจากทั้งทางน้ำเสียง การเคลื่อนไหวร่างกาย และเนื้อเพลง กระตุกต่อมให้คนคิดตามฟังไปขนลุกไป
-พิธีกร : ปีที่แล้วมี Issue กันเรื่องพิธีกรนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าพิธีกรปีที่แล้วไม่ดี แต่เท่าที่จำได้ มี2คู่ น่ารัก ภาษาอังกฤษคล่อง แต่ชั่วโมงบินอาจจะยังไม่แข็งพอจะทำให้งานไหลลื่นแบบเป็นธรรมชาติ ยิ่งขึ้นมาแทรกกับ Speaker ที่แต่ละคนจังหวะการพูดสะกดคนได้แบบจริงจัง ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ (เฟื่องเองยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าขึ้นไปปะทะกับนักพูด TED: Talk Like TED ขนาดนั้นจะเป็นยังไง) แต่ชื่นชมปีนี้นะคะ “พิ” กับ “จ๊ะ” เป็นธรรมชาติดีมาก ไหลลื่นดีมาก โดยเฉพาะ “พิ” บังเอิญรู้จักน้องเพราะไปเป็น Speaker มาให้คอร์ส JUMC ของจุฬาที่เฟื่องเรียนด้วย เห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเป็นคนพูดเก่ง นำเสนอเก่ง มาเห็นบนเวทีจริงๆจังๆ จังหวะ น้ำเสียง การทิ้งระยะให้คิด มีความหนักเบา เราชื่นชมจริงๆ ขอให้เป็นพิธีกรมืออาชีพต่อไป
สำหรับ Talk นั้น มีหลายทอล์กที่ “ว้าว”: Hilightๆ เลย ก็ป้ามล จากบ้านกาญจนาภิเษก/พี่ป๋อมแป๋ม เทยเที่ยวไทย/พี่เต๋อ นวพล/น้าต๋อยเซมเบ้/อาเจ็ก สำเพ็ง/พระจิตร์ จิตตสวโร/ผศ.ดร.ยศชนัน ฯลฯ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะมาเล่าให้ฟังบล็อกหน้าแล้วกัน เดี๋ยวจะยาวเกินไป
(ประกอบกับเรายังพลาด Session แรกไป ขอไปฟังมาให้ครบๆก่อน)
และแนะนำเลยค่ะ ว่าใครที่พลาดไป ควรไปดูย้อนหลังจริงๆ
ทุก Talk ทุก Speaker คัดมาแล้วว่า นี่คือ “Ideas Worth Spreading” จริงๆ
ขอบคุณทีมงาน TEDxBangkok ทุกๆคนที่ตั้งใจจัดงานดีๆแบบนี้ออกมา และทำได้ดีจริงๆ
ปีหน้าไม่พลาดแน่นอน