ถ้าอนาคตโลกไม่มีมือถือ แล้วเราจะใช้อะไรแทน?

สมาร์ทโฟน ถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่ขาดไม่ได้ของชีวิตคนยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสาร การย่อโลกให้เล็กลง เราทำทุกอย่างผ่านมือถือเพียงเครื่องเดียว แต่หากลองสังเกตดูก็จะเห็นว่ามือถือรุ่นใหม่ ๆ ที่เปิดตัวมา ไม่มีจุดเปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก จนอาจคิดได้ว่ายุคของมือถือใกล้จะถึงทางตัน แม้กระทั่ง DJ Koh อดีต CEO ของ SAMSUNG ยังคิดว่าอีก 5 ปีข้างหน้าอาจจะไม่มีใครใช้สมาร์ทโฟนแล้วก็ได้

ถ้าอีก 5 ปีข้างหน้าไม่มีมือถือแล้วจริง ๆ มนุษย์เราจะใช้ชีวิตได้ยังไง และจะใช้อะไรแทน…

เพราะอะไรมือถือจะหายไป?

ถ้าพูดถึงภาพรวมของมือถือ ก็คืออุปกรณ์ตัวกลางที่เราใช้ในการรับ-ส่งข้อมูล ทั้งข่าวสาร รับ-ส่งข้อความคุยกับเพื่อน เสพคอนเทนต์ผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ด้วยความคุ้นชิน เราอาจจะคิดว่าการทำอะไรผ่านมือถือมันเร็วมากอยู่แล้ว แต่เจ้าพ่อเทคโนโลยีอย่างอีลอน มัสก์ เคยออกมาบอกทำนองว่ามือถือยังด้อยประสิทธิภาพอยู่ กว่าเราจะหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ ช้าไม่ทันใจ สมองสั่งการได้เร็วกว่าหลายเท่า เมื่ออุปกรณ์นี้ไม่มีประสิทธิภาพพอ ก็เป็นไปได้ว่าจะมีอย่างอื่นมาแทนที่

แล้วอะไรจะมาแทนฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของมือถือได้บ้าง?

1. ด้านการรับข้อมูล

เทคโนโลยีด้านการรับภาพ เสียง ดูวิดีโอต่าง ๆ ที่ยกระดับขึ้นมาอีกขั้น มีหลายอย่างให้น่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็น VR Headset, Wearable (เทคโนโลยีที่สวมใส่ได้ต่าง ๆ), แว่นตาอัจฉริยะ ฯลฯ ที่อาจจะมาแทนจอภาพ สิ่งที่น่าสนใจคือหลายค่ายยักษ์ใหญ่ กำลังมุ่งพัฒนาอุปกรณ์เหล่านี้อยู่ เช่น 

  • Apple Glass : แว่นตาอัจฉริยะจาก Apple ที่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีข่าวลือคาดว่า Apple Glass จะทำงานแทนจอ แจ้งเตือนข้อความ อีเมล ดูแผนที่ได้ เหมือนยก Apple Watch มาไว้บนแว่น
  • Google Glass : แว่นตาอัจฉริยะที่ทาง Google กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว และปัจจุบันเพิ่งซื้อ North บริษัทที่พัฒนาแว่น Focals เพื่อทำให้ Google Glass มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • Microsoft HoloLens : จากความร่วมมือของ Microsoft และ NASA สามารถแสดงผลภาพโฮโลแกรม 3 มิติได้ และทำงานได้ด้วยตัวเองไม่ต้องเชื่อมกับอุปกรณ์อื่น
  • แว่น VR จาก Facebook : Facebook ซื้อกิจการ Oculus มาตั้งแต่ปี 2012 และพัฒนาแว่น VR ของตัวเองมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันกลายเป็น VR ที่น้ำหนักเบา ใช้งานง่าย ราคาเข้าถึงได้ (พัฒนาเพื่อรับกับ Facebook Horizon)
  • AR CONTACT LENS : นำโดยเทคสตาร์ตอัปอย่าง Mojo Vision อุปกรณ์ลักษณะเหมือนคอนแทคเลนส์ ใส่เข้าไปในตาของเรา และจะมี AR Graphic ขึ้นมาซ้อนทับกับโลกจริง
  • SkinMarks : โครงการของ Google ที่พัฒนารอยสักอิเล็กทรอนิกส์ เปลี่ยนผิวหนังของเราเป็น Touch Pad เราสามารถสั่งการผ่านผิวหนังได้ผ่านการสัมผัส การขยับ การทำท่าทาง แทนการสั่งการผ่านหน้าจอมือถือ

ตัวอย่างนี้ถ้ามองในภาพรวม เราใช้แว่นหรือคอนแทคเลนส์อัจฉริยะแทนจอ สั่งการต่าง ๆ ผ่านร่างกายของเรา ถึงจุดนั้น เราอาจจะลืมหยิบมือถือไปเลยก็ได้… 

2. ด้านการส่งข้อมูลหรือการสั่งการ

การสั่งการบนมือถือหลัก ๆ ที่เราคุ้นชินกันคือการพิมพ์ แต่ ณ ตอนนี้ เทคโนโลยีพร้อมแล้ว ยกตัวอย่างตามรูปแบบการสั่งการได้ ดังนี้

  • การสั่งการด้วยเสียง (Voice Control)

Credit : pixabay

การสั่งการรูปแบบนี้ที่เห็นว่าเริ่มใช้งานอย่างแพร่หลาย คือ Siri ของ Apple, Bixby ของ Samsung, Microsoft Cotana, OK Google ซึ่งถูกพัฒนาให้เก่งขึ้นเรื่อย ๆ ทำได้เร็วกว่าการพิมพ์อยู่แล้ว และด้วย AI ที่นับวันยิ่งฉลาด ไม่แน่ว่าอนาคตเราอาจจะมีผู้ช่วยส่วนตัวเหมือนจาร์วิสใน Iron Man ก็ได้ และผู้ช่วยเหล่านี้อยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ในมือถือเท่านั้น แค่เรามีไมโครโฟนไว้ใช้สื่อสาร และสั่งการได้ก็พอ

  • การสั่งการด้วยท่าทาง (Gesture Control)

การทดลอง Gesture Control ของ CTRL-labs

เราอาจจะคุ้นเคยการสั่งงานรูปแบบนี้ด้วยการมีอุปกรณ์เสริม เช่น เล่น VR แล้วมี Leap Motion เพื่อ Track การเคลื่อนไหวของเรา แต่ตอนนี้ CTRL-labs ของ Facebook ก็ได้พัฒนาให้ใช้มือเปล่าสั่งการสิ่งต่าง ๆ ได้ (ติดตามกันต่อว่าจะได้ใช้จริงเมื่อไร) และที่ล้ำไปกว่านั้นคือ การสั่งการด้วยดวงตา อย่างของ Sony ที่จดสิทธิบัตรคอนแทคเลนส์ที่แค่กระพริบตาก็ถ่ายภาพได้ (อนาคตอาจจะเป็นเหมือนในซีรีส์ Black Mirror ที่คนสามารถเปลี่ยนดวงตาเป็นกล้องบันทึกวิดีโอได้!)

  • การสั่งการด้วยสมอง (Brain Computer Interface)

Neuralink Credit : TECHEBLOG

ขั้นสุดของการสั่งการ คือการที่มนุษย์ รวมร่างกับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการฝังชิป หรือ Neuralink เพื่อสั่งการตรงจากสมอง ขอยกตัวอย่างที่คนฮือฮากันมากเมื่อปีก่อน อย่าง Neuralink โปรเจกต์ของ Elon Muks ที่จะทำให้การสั่งการจากสมองเป็นการกระทำได้จริง ๆ และล่าสุด Elon ก็ออกมาทวีตข้อความบอกว่า Neuralink จะสามารถสตรียมเพลงผ่านสมองได้! คิดจะฟังเพลงอะไร เพลงนั้นก็ขึ้นมา เป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามองมาก 

เป็นไปได้จริงไหม?

ทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้เราเลิกใช้มือถือกันไป เพียงแต่เล่าถึงความเป็นไปได้ และอยากชวนคิดว่าเทคโนโลยีพร้อมขนาดนี้ โลกหมุนไวกว่าที่คิด จุดเปลี่ยนแบบ Major Change อาจจะมาอีกครั้ง เหมือนตอนที่สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัวสมาร์ตโฟนมา แล้วมือถือปุ่มกดหายไปก็ได้ หากถึงตอนนั้น พฤติกรรมของมนุษย์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ไม่ได้กลายเป็นหุ่นยนต์อย่างที่หลาย ๆ คนกลัว มีเพียงแค่อุปกรณ์ที่เปลี่ยนไป ในมุมผู้ผลิตก็จำเป็นต้องเร่งปรับตัวอยู่เสมอ ไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งเดิม ๆ 

เมื่อ 5G พร้อมแล้ว เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่พัฒนาไว้ก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำงานร่วมกันในรูปแบบ IoT ได้อย่างชาญฉลาด และตอบสนองความต้องการของเราได้อย่างตรงจุด  อยากได้อะไร อยากทำอะไรก็สามารถสั่งการจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว วันไหนอยากออกไปเจอเพื่อน ก็แค่สวม VR Headset แล้วเจอผ่าน Facebook Horizon โดยที่ตัวจริงของเราไม่ต้องออกไปจากบ้านก็ได้

มารอลุ้นกันค่ะว่าปีหน้า ค่ายไหน องค์กรใดจะหยิบเรื่องนี้มานำร่อง ออกอุปกรณณ์ล้ำๆ ที่อาจมากระทบตลาดมือถือได้ วิถีชีวิตเราวันนั้นจะเปลี่ยนไปขนาดไหน… เพราะอนาคตใกล้กว่าที่เราคิด