หนึ่งในอุปกรณ์ที่ยังได้รับความสนใจอยู่เรื่อย ๆ ก็คงหนีไม่พ้น iPad เพราะพกพาได้สะดวกและใช้ทำงานได้ดีไม่แพ้โน้ตบุ๊กอีกด้วย แต่ในตอนนี้ Apple เองก็เปิดตัว iPad ออกมาหลายรุ่นจนลายตาไปหมด บางคนก็ไม่มั่นใจว่าจะเลือกซื้อรุ่นไหนดี?
วันนี้เฟื่องใช้บล็อกนี้มาคุยกับเพื่อน ๆ ทุกคนที่กำลังอยากได้ iPad เครื่องใหม่แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่ารุ่นไหนจะคุ้มเงินในกระเป๋าของเราที่สุด? วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องนี้เลยค่ะ
ตอนนี้ Apple มี iPad รุ่นไหนขายบ้างนะ?
ปัจจุบัน iPad ที่ทาง Apple วางจำหน่ายนั้นจะแยกออกเป็น 4 รุ่นใหญ่ตามภาพที่อยู่ด้านบนนะคะ โดยแต่ละรุ่นจะมีจุดเด่นแตกต่างกันค่ะ
- iPad Pro (2018) – iPad ที่ประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะจะเอาไปทำงานหนัก ๆ เช่น AutoCAD หรือ Adobe Photoshop ก็ได้ เพราะชิป A12X Bionic ที่ติดตั้งมามีประสิทธิภาพสูงมาก รองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Smart Keyboard Folio รุ่นใหม่ล่าสุดเท่านั้น
- iPad Air (2019) – iPad ที่ประสิทธิภาพรองลงมาจาก iPad Pro (2018) เป็นรุ่นที่ใช้ ชิป A12 Bionic เหมือนกัน (แต่ไม่มี X เพราะไม่ได้ออกแบบมารองรับกราฟิกสามมิติเป็นพิเศษ) เป็นชิปตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPhone XS ได้ทั้งประสิทธิภาพที่ดีและไม่กินพลังงานมาก เอาติดตัวไปเรียนหรือเข้าประชุมแทนโน้ตบุ๊กย่อม ๆ ได้เลย รองรับ Apple Pencil รุ่น 1 กับ Smart Keyboard
- iPad (2018) – เหมาะกับการใช้งานทั่วไปเพื่อความบันเทิง ให้นักเรียนใช้เข้าห้องเรียนหรือนักวาดไว้วาดภาพก็ได้ แต่เสียเปรียบ iPad Air (2019) ที่ไม่รองรับ Smart Keyboard ของ Apple แต่ใช้คีย์บอร์ด Bluetooth แทนได้และรองรับ Apple Pencil รุ่น 1
- iPad mini 5 (2019) – iPad ที่พกพาง่ายที่สุด ติดตั้งซีพียูเป็น A12 Bionic เท่า iPad Air (2019) เหมาะกับคนที่ชอบพกเครื่องไปไหนมาไหนบ่อย ๆ เช่นเซลส์ที่ต้องมีแคตตาล็อคสินค้าไปนำเสนอลูกค้าบ่อย ๆ แล้วต่อจอใหญ่เพื่อนำเสนอก็ดีและรองรับ Apple Pencil รุ่น 1 เช่นกัน
แต่ละรุ่นเหมาะกับใครบ้าง?
เพราะ Apple iPad เป็นสินค้าอีกกลุ่มที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ MacBook เลย จึงทำให้มีรุ่นย่อยออกมามากจนบางคนอาจจะแยกไม่ออกก็เป็นไปได้ แต่อย่างหนึ่งที่เฟื่องต้องให้เพื่อน ๆ ทำความเข้าใจก่อนไปอ่านรายละเอียดแยกของแต่ละรุ่นนะคะ ได้แก่;
- iPad Pro (2018) ใช้ได้แค่ Apple Pencil รุ่นที่ 2 เท่านั้น ส่วนรุ่นอื่นใช้ Apple Pencil รุ่นที่ 1
- iPad Pro (2018) กับ iPad Air (2019) เป็น iPad ที่ใช้ Smart Keyboard ได้ แต่เป็นคนละรุ่น จะเอามาใช้แทนกันไม่ได้
- iPad (2018) เป็น iPad รุ่นเดียวในกลุ่มที่ใช้ชิป A10 Fusion รุ่นเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 7 แต่รุ่นอื่น ๆ เป็น A12 Bionic หมดแล้ว
iPad Pro (2018)
ราคา เริ่มที่ 28,900 บาท (รุ่น 11″ ความจุ 64GB Wi-Fi) ถึง 66,900 บาท (รุ่น 12.9″ 1TB Wi-Fi + Cellular)
เริ่มต้นที่ iPad Pro ที่ทาง Apple อัปเกรดสเป็กและความสามารถมาให้แบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นชิปรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง A12X ที่เคลมประสิทธิภาพว่าแรงเทียบชั้นโน้ตบุ๊กหลาย ๆ รุ่นได้ จะใช้งานหนัก ๆ เปิด Adobe Photoshop CC หรือ AutoCAD ก็ไม่มีปัญหา และเปลี่ยนจากการสแกนลายนิ้วมือเป็นใบหน้าเหมือน iPhone รุ่นใหม่แล้ว ใครที่ทำงานหนัก ๆ ใช้แอปฯ ทำงานสามมิติบ่อย ๆ แนะนำตัวนี้เลย
ด้านจุดเด่น
- ตัวเครื่องของเขาเทียบกับ MacBook Pro ที่เฟื่องเคยใช้มา นับว่าเล็กพกพาง่ายและทำงานได้สะดวกพอสมควร ทำให้เราสามารถหยิบไปใช้งานได้บ่อยขึ้น
- หน้าจอ Liquid Retina ได้สีสันที่สวยและสมจริง เหมาะกับการทำงานกราฟิก
- ลำโพงเสียงดังดี เป็นสเตอริโอ จะใช้เพื่องานหรือความบันเทิงในชีวิตประจำวันก็ดีงาม
- Apple Pencil รุ่นที่ 2 ใช้ทำงานสำหรับร่างไอเดียได้สะดวก ทำให้ใครที่ไม่อยากปรับตัวกับ macOS ก็มี iPad Pro เป็นทางเลือก โดยความจุภายในเครื่องจะเริ่มต้นที่ 64GB ไปถึง 1TB (1,000GB) เลยค่ะ!
ส่วนจุดสังเกต
- คีย์บอร์ดและ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ทำให้อุปกรณ์ของรุ่นนี้เอาไปใช้งานกับรุ่นอื่นไม่ได้ (ซึ่งบางคนก็แอบไม่ปลื้มกับเรื่องนี้อยู่นิดหน่อย)
- พอร์ตมีแค่ช่อง USB-C และเฉพาะ iPad Pro 11″ รุ่นใหม่หรือ MacBook Pro เท่านั้น
- ไม่มีช่องสำหรับหูฟัง 3.5″ อีกต่อไป ทำให้หลายคนที่มีหูฟังแบบเดิมใช้งานได้ไม่สะดวก เหมือนผลักดันไปใช้งานอุปกรณ์แบบ Wireless แบบกลาย ๆ
- เวลาใช้งานและเข้าหน้าเว็บยังไม่เปลี่ยนเป็นแบบ Desktop ทำให้บางครั้งใช้งานไม่สะดวก
- แม้คีย์บอร์ดจะบางแต่ก็ไม่มีไฟใต้คีย์บอร์ดติดตั้งมาให้ ทำให้ตอนใช้งานในที่มืดไม่ค่อยสะดวก
- ตัวเครื่องน้ำหนักเบาเกินไป ทำให้บางครั้งตอนวางเครื่องบนตักเพื่อพิมพ์งานทำได้ไม่สะดวกนักจนต้องเกร็งตักเพื่อพยุงตัวเครื่องด้วย
iPad Air (2019)
ราคา เริ่มที่ 17,900 บาท (ความจุ 64GB Wi-Fi) ถึง 27,400 บาท (รุ่น 256GB Wi-Fi + Cellular)
iPad Air (2019) เป็นรุ่นที่นำชื่อ Air กลับมาใช้หลังจากห่างหายไปหลายปี โดยเลือกติดตั้งชิป A12 Bionic เหมือนกับ iPhone Xs Series มาให้ เรื่องประสิทธิภาพจัดว่าหายห่วงและรองรับ Apple Pencil รุ่นแรกและ Smart Keyboard แบบเดียวกับที่เคยใช้ได้ใน iPad Pro 10.5″ รุ่นที่แล้ว จัดว่ามีความครบครันจนแทนโน้ตบุ๊กสำหรับใช้เข้าเรียนหรือเข้าประชุมได้สบาย ๆ
ถ้าเพื่อน ๆ หลายคนเห็นว่าตัวของเขาคล้าย iPad Pro 10.5″ รุ่นที่แล้ว เข้าใจไม่ผิดค่ะ เพราะทางสื่อต่างประเทศก็กล่าวว่า iPad Air (2019) เป็น iPad Pro 10.5″ รุ่นก่อนที่นำมาลดสเป็กลงไปบางส่วนเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกลงและเน้นสำหรับนักเรียนนักศึกษาและพนักงานออฟฟิศที่ใช้ทำงานเอกสารทั่วไป
จุดเด่นในมุมมองของเฟื่องคือ
- ติดตั้งพอร์ตที่คุ้นเคยมาให้ ทั้งช่องหูฟัง 3.5″ และปุ่ม Home ที่สแกนลายนิ้วมืออีกด้วย
- ขนาดตัวเครื่องกำลังดี พกไปไหนมาไหนได้สะดวก
- ใช้ชิป A12 Bionic รุ่นเดียวกับ iPhone XS ประสิทธิภาพสูงมาก จึงใช้งานได้อีกหลายปี
- ราคาสมเหตุผล สำหรับรุ่นยอดนิยมอย่าง WiFi 64GB อยู่ที่ 17,900 บาทเท่านั้น หรือถ้าต้องการความจุมากและใช้งาน 4G ได้ตลอดเวลา ไม่ต้องพึ่ง WiFi ของสถานที่นั้น ๆ ในราคา 27,400 บาท ก็ถือว่าคุ้มค่าเช่นกัน
ข้อสังเกตหลัก
- Apple ตัดออกหลายฟีเจอร์ ได้แก่ ProMotion ที่ทำให้ภาพลื่นไหลเป็นพิเศษตอนทำงานกราฟิกสามมิติ, ลำโพงสเตอริโอ, ไฟแฟลชสำหรับกล้องหลัง ถ้าใครใช้ฟีเจอร์เหล่านี้อาจจะต้องคิดสักหน่อยนะคะ
- กล้องหลังมีความละเอียดเพียง 8 ล้านพิกเซลเท่ากับ iPad (2018) และ iPad mini 5
- ลำโพงมีเพียงสองตัวเท่านั้น ได้แต่เสียงที่ดังแต่ไม่กังวาลแบบสเตอริโอ
iPad (2018)
ราคา เริ่มที่ 11,500 บาท (ความจุ 32GB Wi-Fi) ถึง 19,900 บาท (รุ่น 128GB Wi-Fi + Cellular)
iPad (2018) จะมีราคาถูกที่สุดในกลุ่ม iPad ด้วยราคาแค่ 11,500 บาท และใช้ Apple Pencil ได้เหมือนกัน แต่ใช้ Smart Keyboard ไม่ได้ นอกจากจะซื้อคีย์บอร์ด Bluetooth มาพิมพ์งานค่ะ ส่วนชิป A10 Fusion ก็ยังทำงานทั่วไปได้ดีไม่แพ้กันกับ iPad รุ่นอื่น จะให้นักเรียนนักศึกษาใช้เข้าเรียนหรือเป็นนักวาดภาพที่อยากใช้ iPad ทำงานก็ดีเช่นกัน แต่แรมในเครื่องมีไม่เยอะ ควรเคลียร์แอปฯ ทิ้งเป็นระยะ ๆ
ข้อดีที่น่าสนใจ
- ราคาถูกสุดในกลุ่ม iPad ที่มีขายตอนนี้ เริ่มต้นรุ่น 32GB แค่ 11,500 บาท ถ้าใช้รุ่น 4G ความจุ 128GB เพิ่มเงินมาอีก 8,400 บาท เป็น 19,900 บาท ก็ไม่ต้องหา WiFi ให้วุ่นวาย
- ใช้ Apple Pencil รุ่น 1 ได้ น้ำหนักไม่มากเกินไป ใช้ทำงานวาดและเขียนตอนเข้าห้องเรียนได้ดี
- ขนาดของหน้าจอใหญ่กำลังดี ใช้งานได้หลากหลาย
ข้อสังเกตที่น่าคิด
- จากการใช้งานจริง มีอาการแอปฯ เด้งบ้างเพราะแรมไม่มากพอ ควรเคลียร์แอปฯ เป็นระยะ
- เพราะแรมมีน้อยเกินไป ตอนใช้งานแอปฯ หนัก ๆ เช่น iMovie เพื่อตัดต่อวิดีโอจะมีอาการเครื่องอุ่นขึ้นมาและทำงานได้ช้าลงไปบ้าง
iPad mini 5 (2019)
ราคา เริ่มที่ 13,900 บาท (ความจุ 64GB Wi-Fi) ถึง 23,400 บาท (รุ่น 256GB Wi-Fi + Cellular)
ปิดท้ายด้วย iPad mini รุ่นที่ 5 ที่ Apple อัปเกรดสเป็กมาได้สนใจทีเดียว เป็นรุ่นที่คนชอบแท็ปเล็ตพกพาง่าย ๆ คงจะเลือกซื้อกัน นอกจากนี้ยังใช้ Apple Pencil รุ่นแรกได้อีกด้วย ส่วนชิปของเขาเป็น A12 Bionic เหมือน iPad Air (2019) ทำให้ตอนใช้งานแอปฯ ทำงานวาดหรือเล่นเกมก็ทำได้หายห่วง ซึ่งเซลส์ที่ต้องพกแคตตาล็อคสินค้าเพื่อนำเสนอสินค้าลูกค้าบ่อย ๆ หรือคนที่เห็นว่า iPad (2018) ตอบโจทย์แล้วแต่ชอบเครื่องที่เล็กและเบา ก็เลือกรุ่นนี้ได้เลย
จุดเด่นที่ใครก็ชอบ
- เครื่องเล็กพกพาสะดวกเพราะมีขนาดแค่ 7.9″ เท่านั้น
- ชิป A12 Bionic ประหยัดพลังงานและประสิทธิภาพตอบโจทย์การใช้งานรอบด้าน
- มีความจุ 64GB ราคา 13,900 บาท ให้เลือก คนที่ใช้งานทั่ว ๆ ไปเลือกเป็นตัวนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าต้องการวาดภาพ, จดบันทึกเก็บไว้เยอะ ๆ ก็เลือกรุ่น 256GB ได้ และถ้าเอา 4G ด้วย ก็แค่ 23,400 บาทเท่านั้น ถือว่ากำลังคุ้มค่าที่สุดในกลุ่มแล้ว
ข้อสังเกตที่ห้ามมองข้าม
- มีพื้นที่สำหรับวาดเขียนน้อยเมื่อเทียบกับ iPad (2018) ถ้าเอาไปใช้วาดภาพอาจจะสะดวกน้อยกว่าบ้าง
- ราคาใกล้เคียงกับ iPad Air (2019) ซึ่งถ้าใครเน้นใช้งานหนักและพิมพ์งานเยอะ เพิ่มเงินอีกนิดไปใช้ iPad Air จะคุ้มกว่าเพราะฟีเจอร์ครบ
ราคาของแต่ละรุ่น?
ตารางราคาข้างบนอ้างอิงจากหน้าเว็บไซต์ของ apple.com/th นะคะ แต่ราคาอาจจะเปลี่ยนไปได้ตามโปรโมชั่นของผู้จัดจำหน่ายแต่ละเจ้า ดังนั้นก่อนจะไปซื้อแล้ว เฟื่องแนะนำให้ทุกคนทำการบ้านโดยไปเช็คราคากับตัวแทนจำหน่ายให้เรียบร้อยก่อนจะดีที่สุดค่ะ
คุยกันมาจนถึงตรงนี้แล้ว เฟื่องคิดว่าเพื่อน ๆ น่าจะได้ไอเดียการเลือกซื้อ iPad ไประดับหนึ่งแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนจะซื้อเฟื่องก็อยากให้ว่าที่เจ้าของเครื่องได้ไปลองใช้ลองถือดูสักหน่อยว่าเราชอบหรือไม่ชอบเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า จะได้เลือกซื้ออุปกรณ์ชิ้นใหม่ให้ตรงใจที่สุดค่ะ