“เทรนด์สินทรัพย์ดิจิทัล” ที่น่าจับตามองตอนนี้ ก็หนีไม่พ้นจาก NFT และ Fan Token ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เกิดกระแสบูมขึ้นมากโดยเฉพาะช่วงปีที่แล้ว ที่เหล่า Influencer คนดังของไทย จากหลากหลายวงการทั้งด้านศิลปะ เกม หรือแม้แต่ Youtuber ก็เริ่มหันมาใช้ NFT และ Fan Token ในการทำธุรกิจ และสื่อสารกับเหล่าบรรดาแฟนคลับแล้ว เช่น Riety, Bie The Ska และ Kaykai Salaider
ซึ่งความเป็นไปได้และทิศทางในอนาคต ของสินทรัพย์เหล่านี้จะเป็นยังไงต่อ คุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ (CEO & Co-Founder บริษัท อุ๊คบี จำกัด) ได้พูดถึงไว้ในงาน Skillforce Virtual Conference 2021 ดังนี้ค่ะ
ความสำคัญของสินทรัพย์ดิจิทัล และ Blockchain?
สินทรัพย์ดิจิทัล คือ ข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ในรูปแบบ Digital Format ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ภาพ วิดีโอ ฯลฯ ซึ่งมีเจ้าของผลงานชิ้นนั้นอยู่ ซึ่งคำว่า “Digital Asset” เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเป็นเจ้าของ และสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่บนโลกดิจิทัล
แต่ปัญหาคือ สินทรัพย์ดังกล่าวมักถูกส่งต่อหรือโดนก็อปปี้ไฟล์ ทำให้มูลค่าของสิ่งที่มีอยู่นั้นลดลง ความเป็นเจ้าของก็หายไป จนกระทั่งเมื่อเทคโนโลยี Blockchain เข้ามา ส่งผลให้สินทรัพย์ดิจิทัลนั้นกลับมามีมูลค่า หรืออาจเพิ่มสูงขึ้นเลยก็ว่าได้
ด้วยระบบ Blockchain ที่ไม่มีตัวกลาง (Decentralized) หรือตัวแทนบริษัทมาคอยกำกับดูแล รวมถึงความปลอดภัยที่ไม่ใช่ว่าใครจะแก้ไขได้ ทำให้มีคนนำไอเดียนี้ไปต่อยอดจนเกิดเป็น 2 ระบบใหญ่ ๆ คือ
1. Cryptocurrencies เงินตราดิจิทัล ใช้ในการแลกเปลี่ยน ซื้อขาย ถ่ายโอนได้ อยู่บนเครือข่ายของตัวเอง เช่นที่เรารู้จักกันอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum
2. Digital Token เหรียญที่ถูกสร้างขึ้นมาบนเครือข่ายของบล็อกเชนอื่น อย่าง Ethereum ซึ่งแต่ละเหรียญมีมูลค่าแตกต่างกัน และมีจุดประสงค์ในการใช้ตามที่ผู้สร้างกำหนด
โดย Digital Token จำเป็นต้องมี “Smart Contract” (สัญญาอัจฉริยะ) ในการเก็บข้อมูลธุรกรรม หรือเงื่อนไขระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายไว้ในเหรียญ เพื่อสร้างธุรกิจรูปแบบใหม่อย่าง NFT และ Fan Token นั่นเอง
NFT / Fan Token สินทรัพย์สร้างรายได้แห่งอนาคต
ถึง NFT และ Fan Token จะมาจากคอนเซ็ปต์เดียวกัน ที่ใช้เหรียญดิจิทัลเป็นตัวแทนของสัญญาบางอย่าง แต่หลักการใช้งานต่างกันสิ้นเชิง
NFT หรือ Non-Fungible Token
เหรียญที่มีเพียงชิ้นเดียว ใช้แทนกันไม่ได้ ไม่สามารถใช้เป็นเงินได้อย่างคริปโตฯ แต่จะเห็นได้ว่าตอนนี้ถูกนำมาปรับใช้ในวงการศิลปะเป็นส่วนใหญ่ เพื่อตอบปัญหาที่สินทรัพย์ถูกก็อปปี้จนมูลค่าสูญหาย
เกิดเป็นช่องทางทำเงินใหม่ ที่ซื้อขายผลงานศิลปะผ่านดิจิทัล โดยใช้เหรียญ NFT ในการระบุความเป็นเจ้าของ สามารถยืนยันได้ ทำให้ผลงานชิ้นนั้น ๆ มีความ Original และมีมูลค่าในตัวมันเอง แม้จะอยู่บนโลกออนไลน์ก็ตาม
พูดง่าย ๆ คือ จากผลงานที่เป็นแบบ Physical ก็ถูกแปลงให้อยู่ในรูปไฟล์ดิจิทัล ที่สามารถซื้อขายกันได้ผ่าน NFT Marketplace เช่น Opensea หรือ Binance NFT แพลตฟอร์มซื้อขายระดับโลก โดยคนซื้อจะได้รับเหรียญ NFT ที่มีการลงสัญญาความเป็นของไว้ ทำให้ไม่ว่าไฟล์ภาพจะถูกส่งต่อไปที่ไหน ก็สามารถระบุผู้เป็นเจ้าของได้เสมอ
นอกจากคนซื้อจะได้รับการระบุว่า เป็นเจ้าของผลงานนั้นแต่เพียงผู้เดียวแล้ว ยังสามารถนำไปประมูล หรือเทรดต่อได้อีกเช่นกัน ส่งผลให้มูลค่าของผลงานเพิ่มสูงขึ้น จนสร้างกำไรได้อีกหลายเท่าตัว
Fan Token
เหรียญสำหรับคนเฉพาะกลุ่ม ปัจจุบันนำมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบ คนดัง-แฟนคลับ หลักการคือแฟน ๆ สามารถซื้อเหรียญที่ถูกจัดทำขึ้นมา เพื่อให้ได้เข้าถึงสิทธิพิเศษ เช่น การร่วมกิจกรรม exclusive ซื้อสินค้า แลกของสะสม หรือยิ่งกว่านั้นคนที่ถือครอง Fan Token มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสิทธิ์ในการเข้าร่วมการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ของบริษัท คล้ายกับการถือหุ้นไว้ในมือ
ช่วงนี้เริ่มมีสโมสรฟุตบอลระดับโลกเปิดตัว Fan Token ให้แฟน ๆ ได้จับจองกันแล้ว ซึ่งในระยะเวลาไม่นาน สามารถทำรายได้หลักร้อยล้านเหรียญเลยทีเดียว ทำให้กระแส Fan Token นั้นมาแรงไม่แพ้ NFT เลยทีเดียว
ซึ่งเร็ว ๆ นี้มีข่าวว่า เวทีประกวดนางงาม Miss Universe Thailand ได้จับมือร่วมกับ Bitkub สร้าง Digital Collectable Cards ที่ผสมความเป็น NFT และ Fan Token เข้าไว้ด้วยกัน จนเกิดเป็นการ์ดสะสมรูปแบบใหม่ ที่เพิ่มกระแสตื่นตัวและขยายตลาด ให้กับเทรนด์สินทรัพย์ดิจิทัลนี้เป็นอย่างมาก
การเข้ามาของผู้เล่นรายใหญ่ ทำให้ต้องหันกลับมามองที่การกำกับดูแลของไทย เพราะตามจริงแล้ว เหรียญดังกล่าว ถูกจัดให้อยู่ในหมวด “Utility Token” ซึ่งยังไม่สามารถซื้อขายได้ตามกฎหมายซะทีเดียว จากที่ ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) ระบุไว้ราชกิจจานุเบกษา เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องน่าติดตามต่อ ว่าในอนาคตจะมีการปรับข้อบังคับหรือไม่ หากมีผู้เล่นในตลาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
NFT / Fan Token เปลี่ยนโลกการทำธุรกิจ?
ทั้ง 2 เทรนด์ถือเป็นเรื่องใหม่ ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นที่มีผู้เล่นในตลาดไม่กี่เจ้า แต่ด้วยความสะดวก ง่าย ที่สำคัญตอบโจทย์สังคมยุคดิจิทัล ทำให้ทิศทางในอนาคตนั้นจะมีอีกหลายธุรกิจก้าวเข้ามามากขึ้น
สิ่งนี้เป็นบททดสอบของผู้ประกอบการ ที่จะต้องผุดไอเดียที่สามารถประยุกต์ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลกับธุรกิจได้อย่างลงตัว ปรับโมเดลธุรกิจให้ล้อไปกับทิศทางที่สังคมกำลังให้ความสนใจในอนาคต เพราะจริง ๆ แล้วมูลค่าของสินทรัพย์ที่อยู่บนโลกจริงและโลกเสมือนนั้นไม่ต่างกัน เพียงแค่ถูกนำมาดัดแปลงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ที่จับต้องไม่ได้ และซื้อขายกันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นหลัก แน่นอนว่าเทรนด์การทำธุรกิจบนออนไลน์ไม่ใช่เรื่องใหม่แล้ว แต่กำลังจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่ง ที่เข้ามามีบทบาทจนเราไม่สามารถเลี่ยงไม่ได้มากกว่า
เพราะฉะนั้นเราควรเปิดใจ และลองเรียนรู้สิ่งใหม่ เพื่อก้าวตามเทคโนโลยีให้ทัน และใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ให้เกิดผลดีต่อธุรกิจมากที่สุด