
ในช่วงวิกฤต Covid-19 แบบนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ บริษัทก็มีมาตรการให้พนักงานทำงานอยู่บ้าน หรือ Work from home กันใช่ไหมคะ บริษัทเราเองก็มีมาตรการนี้เหมือนกัน ซึ่งการ Work from home ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งแรกของใครหลาย ๆ คน การปรับตัวก็อาจจะทุลักทุเลกันบ้าง
เท่าที่ได้ฟังความเห็นคนรอบข้าง หรือคนในโซเชียลบ่น ๆ กันก็คือ ทำงานอยู่บ้านแล้วเหมือนทำงานเต็มเวลา ไม่มีสมาธิ งานไม่เดิน จิตตกต่าง ๆ นานา แทนที่จะเป็นการดีที่เราจะพักผ่อนได้มากขึ้น กลับกลายเป็นจมอยู่กับงานจนทำให้ Work กับ life ไม่ balance กันเอาเสียเลย
แล้วเพราะอะไร Work from home ถึงไม่ Work กับเรา
ในกรณีนี้ขอพูดถึงทุก ๆ คนที่ได้สิทธิ์ในการ Work from home เพราะไม่ใช่ว่าทุกงาน ทุกหน้าที่จะสามารถทำงานอยู่บ้านได้ อย่าง งานออกแบบที่ต้องตรวจสอบชิ้นงาน งานที่ต้องเดินทางไปหาลูกค้า งานบริการต่าง ๆ จะให้ Work from home ยังไงได้ แต่คนที่ได้รับสิทธิ์นี้ทำไมยังรู้สึกโหยหาการกลับไปออฟฟิศอยู่ เรามาวิเคราะห์สาเหตุไปพร้อม ๆ กันค่ะ
- สภาพแวดล้อม ไม่เอื้อต่อการทำงาน บางครั้งอยากจะตั้งใจทำงาน แต่แม่ดันเรียกให้ไปช่วย ตากผ้า ซื้อของ ข้างบ้านก็มีเสียงก่อสร้างรบกวน แมวเดินสะดุดปลั๊กไฟ และนานาปัญหา ยิ่งถ้าบ้านไหนมีเด็กเล็กด้วยนะคะ สมาธิหดหายกันไปเลยค่ะ
- รู้สึกเหงา ไม่มีพลังในการทำงาน โดยเฉพาะชาว Extrovert ที่ได้รับพลังจากการเจอทีม เจอเพื่อน แล้วต้องมาทำงานอยู่บ้านแบบเหงา ๆ อาจเกิดอาการจิตตกได้เหมือนกัน
- มีสิ่งดึงดูดความสนใจตลอดเวลา ในภาพจำของเรา บ้านคือที่พักผ่อน แอบงีบนิดหน่อย ดู Netflix หรือเช็คหน้าฟีดโซเชียลก็ทำได้ เพราะไม่มีใครรู้นี่นา พวกนี้แหละค่ะทำให้เราไม่มีสมาธิอยู่กับงาน และทำงานได้ไม่เต็มที่เหมือนอยู่ออฟฟิศ บางครั้งก็ดองงานไว้เรื่อย ๆ ต้องมาปั่นตอนดึก ๆ สุขภาพกายสุขภาพจิตปั่นป่วนไปหม
- อุปกรณ์ไม่พร้อมเหมือนออฟฟิศ ทำงานอยู่บ้านเราอาจจะมีเพียงโน๊ตบุ๊กเครื่องเดียวใช่ไหมคะ แต่บางทีก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ด้วยเหมือนกัน อย่าง ปริ้นเตอร์ คนทำงานตัดต่อ/กราฟิก ต้องการคอมพิวเตอร์สเปกเทพ สำคัญที่สุดคืออินเทอร์เน็ตแรง ๆ (แอบได้ยินมาว่าผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหลาย ๆ เจ้าก็มีโปรโมชั่นก็เพิ่มความเร็วให้โดยที่เราจ่ายเท่าเดิม ส่งเสริมการทำงานที่บ้านอยู่ตอนนี้ ลองติดต่อและสอบถามกันดูนะคะ) อุปกรณ์ที่ไม่พร้อมเหล่านี้ล่ะค่ะ ที่อาจจะทำให้งานของเราติดขัดได้
- ความไม่คุ้นชิน ที่ผ่านมา การ Work from home ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในบ้านเราสักเท่าไหร่ เมื่อต้องมา Work from home กันปุบปับแบบนี้ ทำให้หลาย ๆ คนยังไม่ค่อยชิน (รวมถึงทางเราด้วยค่ะ) ยังไงก็ค่อย ๆ ปรับกันไปนะคะ
เริ่มปรับตัว กัน!
ประโยคที่เราได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ “Work life balance” ก็คือการบริหารการทำงานกับการใช้ชีวิตส่วนตัวได้แบบบาลานซ์ ใช่ว่าทำงานหนักไปจะไม่ดี แต่เราสามารถทำงานแบบ Smart และยังคงหลงเหลือเวลาให้ทำอย่างอื่นได้อยู่ ผสมผสานทุกหน้าที่เข้าหากันอย่างลงตัว อาจจะไม่มีทฤษฎีที่ตายตัวเพราะทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบที่ต่างกัน
ช่วงที่ Work from home ก็ต้อง Work life balance เช่นกัน แล้วเราจะบริหารการทำงานและการใช้ชีวิตให้ลงตัวได้อย่างไร เรามีวิธีมาแชร์กันค่ะ
- สิ่งสำคัญคือวินัย แพ้อะไรไม่เท่าแพ้ใจตัวเอง เมื่อทำงานที่บ้านโดยไม่มีคนจับผิด เรานี่แหละค่ะที่ต้องคอยจับผิดตัวเอง ทำความเข้าใจว่า Work from home ไม่ใช่ Holiday ฉะนั้นเวลาทำงานคือทำงานนะคะ ไปออฟฟิศทำงานยังไง อยู่บ้านก็ต้องทำงานอย่างนั้น เราจะได้เห็นขอบเขตของเวลางานกับการใช้ชีวิตได้อย่างชัดเจน
- เหนื่อยนักก็พักบ้าง มีวินัยไม่ใช่ว่าพักไม่ได้นะคะ บางคนนั่งทำงานได้ที่แล้วก็ขี้เกียจลุกเดินไปไหน อยู่บ้านไม่มีเพื่อนร่วมงานชวนไปซื้อชาไข่มุก ชวนคุย ทำให้เราลืมการพักไป หลังจากนี้ลองดูนะคะ พักสัก 5 นาที ทุก ๆ กี่ชั่วโมงก็ได้ ไปยืดเส้นยืดสาย ชงกาแฟ เล่นกับแมวเพื่อผ่อนคลายตัวเองบ้าง แล้วกลับมาทำงานต่อ จะได้ดีต่อทั้งสุขภาพกายและจิตนะคะ
- บรรยากาศการทำงานมีผลมาก ๆ บางทีเรานั่งทำงานบนที่นอน บนโซฟา เข้าใจว่ามันสบายนะคะแต่บางทีก็อดใจไม่ได้ที่จะค่อย ๆ เอนตัวลงนอน ตื่นมาอีกทีอาจจะค่ำแล้วก็ได้ งั้นเราลองมาจัดโซนทำงานดู ไม่จำเป็นต้องเป็นโต๊ะทำงานจริงจังก็ได้ แค่เป็นที่ที่เราจดจำไว้เลยว่านี่คือที่นั่งทำงาน มีอุปกรณ์วางไว้ครบ ห่างไกลจากสิ่งรบกวน (ไว้บทความหน้าจะมาเล่าเรื่องการจัดโซนทำงานในบ้านนะคะ ขอไปทำการบ้านก่อน)
- ทำ To do list ลองกำหนดดูว่าวันนี้เราต้องทำอะไรบ้าง อันไหนก่อน–หลัง เราจะได้มองเห็นภาพรวมของงานอย่างชัดเจน และเป็นเหมือนตัวช่วยให้เราผลักดันตัวเองให้ทำงานนั้น ๆ ให้เสร็จด้วยค่ะ (ถ้าทำงานของวันนั้นเสร็จไว ก็ได้พักไว)
- บริหารเวลาให้เป็น เมื่อเราทำ To do list ขึ้นมาแล้ว ก็เรียงลำดับความสำคัญ ลองกำหนดเวลาคร่าว ๆ ว่าเราจะทำงานนี้นานแค่ไหน (ยืดหยุ่นได้) ควรทุ่มเวลาไปกับอะไรเท่าไร
- ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนไปออฟฟิศ ตื่นเวลาเดิมที่เคยตื่นไปทำงาน ไปออกกำลังกายยามเช้า หรือทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ อาบน้ำเตรียมตัวก่อนเริ่มงานจะได้สดชื่นหน่อย (อย่างน้อยล้างหน้าแปรงฟันก็ยังดี) และเวลาเริ่มงาน-เลิกงานก็ทำเหมือนเราอยู่ออฟฟิศเลยค่ะ โบนัสเวลาที่ไม่ต้องเสียไปกับการเดินทางเราก็เอามาทำงานอดิเรก ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว สุขภาพกายและจิตใจก็จะดีตามไปค่ะ
- สื่อสารกับเพื่อนร่วมงานเสมอ ยิ่งไม่เจอกัน การสื่อสารจะต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมาก ๆ วันนี้เราต้องทำอะไร ประสานงานอะไรกันบ้าง เคลียร์ให้ชัดเจน และสำหรับคนที่รู้สึกเหงา แนะนำว่าลองหาเวลาคุยเล่น เมาท์มอยกับเพื่อนร่วมงานดู คลายเครียด (คุยแต่พอดี เดี๋ยวจะกินเวลาทำงานนะจ๊ะ)
ไม่มีใครสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าให้งานมาเบียดเบียนเวลาพักผ่อน อย่าทุ่มเทให้กับงานจนลืมคนรอบตัว อยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องการ Work life balance กันมากขึ้นนะคะ โดยเฉพาะสถานการณ์แบบนี้ บริหารจัดการเวลางานและเวลาชีวิตให้ลงตัว ดูแลสุขภาพและผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ZOCIAL EYE