ในอดีตเราแทบไม่เคยคิดว่า สมาร์ทโฟน, 5G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน นี่แค่ส่วนหนึ่งนะครับ ยังมีเทคโนโลยีอีกมากมายที่เข้ามาเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของเราให้สะดวกสบายมากขึ้น
ไม่เพียงแค่นั้น ความทันสมัยของเทคโนโลยียังถาโถมดั่งคลื่นสึนามิ เข้าไปเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานต่าง ๆ ในทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก หรือที่เรียกว่า “Digital Disruption” จนบางธุรกิจต้องล้มหายตายจาก บ้างก็ปรับตัวสู้กับการเปลี่ยนแปลงจนลืมตาอ้าปากได้
หลังจากนี้อีก 10 ปี จะก้าวสู่ปี 2030 เทคโนโลยีจะก้าวไกลกว่าปัจจุบันอีกหลายสิบเท่า และเข้ามาพัฒนาโลกของเราให้ดียิ่งขึ้นกว่าทุกวันนี้อีก บทความนี้ ผมขอรวบรวม 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2030 จากการคาดการณ์ของหลายคนทั่วโลกครับ
Smart People
นอกจากการพัฒนาเมืองในทุกตรอกซอกซอยให้กลายเป็น Smart Cities แล้ว ศักยภาพของคนจะพัฒนาสู่ความเป็น Smart People (พลเมืองอัจฉริยะ) ผู้คนเกิดการเรียนรู้และปรับตัวจนนำไปสู่การเพิ่มทักษะใหม่ ๆ สำหรับการประกอบอาชีพทางดิจิทัล เช่น นักควบคุมหุ่นยนต์, นักออกแบบเทคโนโลยี, นักพัฒนาซอฟต์แวร์, วิศวกรนาโน เป็นต้น
ขณะเดียวกันเทคโนโลยีในอนาคตอาจเปลี่ยนรูปแบบจากอุปกรณ์ที่เราพกพาหรือสวมใส่ สู่อนุภาคระดับนาโนที่ฝังอยู่ตามเสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งฝังในร่างกาย
AI ที่ก้าวล้ำกว่าปัจจุบันหลายเท่า
แค่ปี 2019 ระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กลายเป็นเครื่องมืออันชาญฉลาดที่มีส่วนช่วยในชีวิตประจำวันของผู้คนและการทำงานต่าง ๆ ซึ่งในปี 2030 AI จะมีบทบาทอย่างมากในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปจนถึงระดับโลก และหนึ่งในนั้น AI จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำช่วยเหลือให้กับผู้คนได้แบบออนไลน์ จนเราไม่อาจแยกได้เลยว่าเรากำลังคุยอยู่กับคนจริง ๆ หรือ AI กันแน่
หุ่นยนต์
เมื่อ AI ฉลาดและพัฒนาไปแบบทวีคูณ เป็นเรื่องง่ายมาก ๆ ที่ หุ่นยนต์ AI จะมีประสิทธิภาพการคิด ประมวลผล และตัดสินใจได้ดียิ่งกว่าปัจจุบัน ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ Alpha Go Zero (โปรแกรมแข่งโกะที่พัฒนามาจาก AlphaGo) ที่พัฒนาตัวเองได้ เรียนรู้ตัวเองตั้งแต่ศูนย์ ไม่ต้องอาศัยการป้อนข้อมูลของมนุษย์
ขณะเดียวกันในอนาคตอาจมีการนำเอาหุ่นยนต์ AI ไปใช้ในเชิงอุตสาหกรรมมากขึ้น แรงงานคนจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ สมองกลจะเข้ามาแทนสมองคน โดยจากรายงานวิจัยล่าสุดของสถาบัน Oxford Economics เปิดเผยว่า ในปี 2030 แรงงานคนในอุตสาหกรรมการผลิตจะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ ทำให้มีผู้ตกงานอาจสูงถึง 20 ล้านตำแหน่ง
โดยหากมองในด้านดี การทำเช่นนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตได้มากทีเดียว เพราะหุ่นยนต์ AI ไม่ต้องการพักเหมือนมนุษย์ นอกจากนี้อาจเกิดอาชีพใหม่ ๆ ตำแหน่งใหม่ ๆ ที่ตลาดต้องการ เช่น AI Trainer, วิศวกรผู้ควบคุมหุ่นยนต์, นักพัฒนาและปรับปรุงระบบหุ่นยนต์ เป็นต้น
6G
ปัจจุบันโลกกำลังเข้าสู่ยุคของ 5G แต่ในระหว่างที่เรากำลังรอใช้เทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่แทนที่ 4G เรื่องของ 6G กำลังถูกกล่าวถึงแล้วในบางประเทศ ได้แก่ จีน, เกาหลีใต้ เป็นต้น ซึ่งคุณสมบัติเบื้องต้นของ 6G คาดว่าจะเร็วกว่า 5G ประมาณ 100 เท่า สนับสนุนการทำงานของอุปกรณ์ประเภท Internet of Things (IoT) และยกระดับ AI ให้สามารถสื่อสารกันเองได้
Smart Vehicles การเดินทางที่รวดเร็วและสะดวกสบายขึ้น
จากผลสำรวจของ Dassault Systemes ต่อความคาดหวังการใช้บริการระบบขนส่งในปี 2030 ของกลุ่มตัวอย่างในสหรัฐฯ 1,000 คน ได้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า 71% สนใจใช้รถยนต์ไฟฟ้าและแบบไฮบริด, 51% มีความสนใจเดินทางด้วยไฮเปอร์ลูป และ 38% สนใจใช้บริการรถแท็กซี่แบบบินได้
ตัวอย่างหนึ่งของประเทศที่หันมาพัฒนาต้นแบบยานพาหนะแห่งอนาคต เช่น เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดตัว Pods ยานยนต์ขนส่งทรงสี่เหลี่ยม ขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วยพลังงานไฟฟ้า วิ่งได้ในความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีแผนใช้สำหรับเดินทางรอบเมืองในปี 2030
และนี่เป็นมุมมองและการคาดการณ์ถึงโลกอนาคตในปี 2030 ซึ่งอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือ เราไม่อาจปฎิเสธหรือเพิกเฉยต่อเทคโนโลยีที่หมุนเร็วขึ้นได้ ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมากเท่าไหร่ หลายอาชีพย่อมมีความเสี่ยงตกงานมากขึ้น ดังนั้นเราควรทำความเข้าใจว่าทักษะและความรู้ที่ร่ำเรียนในปัจจุบันอาจไม่เพียงพอ การเพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่คนยุคนี้ควรเรียนรู้เตรียมพร้อมกับอนาคตที่กำลังจะมาถึง คนทั่วไปก็เช่นเดียวกันครับ ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเทคโนโลยี เพื่อทำให้ชีวิตเราดีขึ้น สะดวกขึ้น ซึ่งใครที่ไม่อยากตกเทรนด์ อยากรู้ว่าเทคโนโลยีไปไกลขนาดไหนแล้ว ติดตาม LDA World ครับ