ใครที่มีรถ แต่ไม่เคยเช็ครถด้วยตัวเองเลย ยกมือขึ้นค่า โดยเฉพาะมือใหม่หรือสาว ๆ อาจจะคิดว่าการดูแลรถมันยาก ไกลตัว ไม่รู้เรื่องรถแม้แต่นิดเดียว รอเอารถเข้าศูนย์ทีเดียวละกัน ความคิดเหล่านี้ผิดนะคะ เพราะรถก็เหมือนร่างกายเรา ไม่ดูแลก็มีแต่จะป่วย และผู้หญิงยุคใหม่อย่างเรา คิดจะทำอะไร ต้องทำได้ค่ะ! ว่าแต่เราต้องดูแลส่วนไหน ยังไงบ้าง? วันนี้เราจะมาไกด์วิธีฉบับมือใหม่ อ่านแล้วทำตามได้เลยค่า
1. เลือกแบตรถดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
พฤติกรรมการใช้รถของเราสมัยนี้ ทำให้เราต้องกลับมาใส่ใจเรื่องแบตเตอรี่มากขึ้นนะคะ เพราะรถใช้ไฟมากขึ้น ทั้งไฟหน้า ไฟหลัง การสตาร์ตรถ ไหนจะชาร์จแบตมือถือ กล้องหน้ารถ ระบบคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ล้วนต้องใช้ไฟฟ้าทั้งนั้น เลือกแบตเตอรี่ไม่ดี ดูแลไม่ถูกต้อง ก็อาจจะเจอปัญหารถดับ สตาร์ตไม่ติด ไปไหนไม่ได้!
เลือกแบตเตอรี่รถให้เหมาะกับการใช้และรถเรา!
เทคโนโลยีพัฒนาขึ้น แบตเตอรี่ก็ถูกออกแบบมาหลากหลายมากขึ้น เราต้องเลือกให้เป็นค่ะ เวลาช่างถามว่าอยากได้แบตรถแบบไหนจะได้ไม่งง
สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา เน้นสะดวก ใช้งานได้นานๆ น่าจะชอบ คือ แบต SMF100% (Sealed Maintenance Free) และ สำหรับคนที่พอมีเวลาดูแลแบต MF100% (Maintenance Free) ก็เป็นอีกทางเลือก ซึ่งราคาจะเบาลงมาหน่อยค่ะ
แบต SMF และ MF คืออะไร!?
- SMF100% (Sealed Maintenance Free)
แบตเตอรี่ BOLIDEN SilverTech Pro SMF และ BOLIDEN SilverTech SMF
แบต SMF คือแบตที่ฝาปิดสนิท ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน ไม่ต้องดูแลจุกจิก สะดวกสบาย เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา อย่าง BOLIDEN จะเด่นเรื่องพลังไฟแรงสูง ใครที่ใช้ไฟในรถหนัก ๆ ติดตั้งอุปกรณ์หรือใช้ระบบไฟฟ้าในรถเยอะ ๆ แล้วกลัวจะสตาร์ทรถติดยาก แนะนำ 2 รุ่นนี้นะคะ BOLIDEN SilverTech และ BOLIDEN SilverTech PRO SMF
- MF100% (Maintenance Free)
แบตเตอรี่ BOLIDEN Dynamic MF
แบต MF คือแบตที่มีประสิทธิภาพเหมือนแบต SMF กินน้ำกลั่นน้อย นาน ๆ จะเติมน้ำกลั่นสักครั้ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน เหมาะสำหรับรถยนต์ทั่วไป ที่อยากประหยัดเวลาในดูแลรักษา BOLIDEN Dynamic MF ให้พลังไฟสูงเช่นกัน ในราคาที่สบายกระเป๋า หรือถ้าใครใช้รถเพื่อการพาณิชย์ ก็แนะนำเป็น BOLIDEN Activo MF
แบตเตอรี่ BOLIDEN Activo MF
ทำไมเลือกแบตของ BOLIDEN?
- คุณภาพดี แข็งแรง ทนทาน ใช้ได้นาน!
ปกติในแบตรถจะมีแผ่นกริด ที่ทำหน้าที่ก่อปะจุและเก็บประจุไฟฟ้า ซึ่งปกติแล้วจะเป็นแผ่นบาง ทำจากโลหะพลวง แต่แบตของ BOLIDEN จะมีแผ่นกริดแบบ Full Frame วัสดุที่ใช้จะมี 2 แบบ คือ
-
- SILVERFORCE Technology เป็นแผ่นธาตุแคลเซียมผสมโลหะเงินบริสุทธิ์แบบ Full Frame นวัตกรรมนี้จะมีในแบต SMF อย่างที่เรารู้กันว่าโลหะเงินนำไฟฟ้าได้ดี หมายความว่าแบตประเภทนี้นำไฟฟ้าได้ดีมาก ๆ
- XTREME BOOST เป็นแผ่นธาตุแคลเซียลแบบ Full Frame นวัตกรรมนี้จะมีในแบตกึ่งแห้ง (MF)
ซึ่งทั้ง 2 แบบ ถูกออกแบบมาให้แข็งแรงทนการกัดกร่อนกว่าโลหะแบบอื่น ๆ และมีความหนาพิเศษด้วย ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตรถให้ยาวนานขึ้น
- จ่ายไฟแรง ชาร์จเร็ว เก็บไฟดี
นอกจากเรื่องความแข็งแรง นวัตกรรมแผ่นกริดของ BOLIDEN ยังช่วยให้การจ่ายไฟดี สามารถรับไฟจากเครื่องปั่นไฟ (ไดชาร์จ) แบบ Super Fast Charge ได้ การสะสมกำลังไฟทำได้ดีกว่าแบตแบบอื่น ๆ
- สตาร์ตติดง่าย
ปัจจัยที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามคือเรื่องของค่า CCA (Cold Cranking Amp) หรือกำลังสตาร์ต การที่แบตรถมีค่า CCA ที่สูง แปลว่าแบตจะจ่ายกำลังไฟในการสตาร์ต ในอุณหภูมิต่ำได้ดี สตาร์ตติดในไม่กี่วินาที แบตของ BOLIDEN มีค่า CCA ที่สูงมาก สามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมเลยค่ะ
- ปลอดภัย ได้มาตรฐาน
แบตทุกรุ่นของ BOLIDEN มีระบบระบายแก๊สและความร้อน แบบ L Shape พร้อม Flame Arrester Filters ป้องกันน้ำกรดไหลออกและป้องกันการระเบิด เราวางใจเรื่องความปลอดภัยได้เลย
Flame Arrester Filters และระบบระบายแก๊สและความร้อน แบบ L Shape ของ BOLIDEN
แบตเตอรี่ทั้ง 4 รุ่น ของ BOLIDEN
แล้วแบตรถแบบอื่นดูแลยังไง ควรเปลี่ยนไปใช้แบต MF และ SMF ไหม?
นอกจาก SMF (หรือที่นิยมเรียกว่า แบตแห้ง) และ MF (หรือที่นิยมเรียกว่า แบตกึ่งแห้ง) แล้ว ยังมีแบตน้ำ และแบต Hybrid ให้เลือกอีกแต่จะเป็นแบตรุ่นเก่าหน่อยค่ะ ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาดูแลอย่างสม่ำเสมอ เติมน้ำกลั่น คอยเช็กปริมาณน้ำกลั่นอยู่เสมอ ถ้าลืมเติมเลย แบตรถเราก็จะเสียได้ หรือถ้าเติมเกินกำหนด น้ำกลั่นล้นออกมา ก็อาจส่งผลให้เครื่องยนต์ส่วนอื่น ๆ เสียหายได้ แนะนำว่าเปลี่ยนไปใช้แบตแห้งหรือแบตกึ่งแห้งไปเลย จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า ได้ประสิทธิภาพดีกว่า ไม่ต้องดูแลจุกจิกด้วยค่ะ
โปรโมชั่น
ตอนนี้ BOLIDEN จัดโปรโมชั่นอยู่ค่ะ ถ้ารถใครไฟเริ่มหมด สตาร์ตติดยาก เปลี่ยนแบตเตอรี่ BOLIDEN วันนี้ รับฟรี 2 ต่อ ต่อที่ 1 เสื้อยืดจากโบลิเด้น ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการ และต่อที่ 2 คูปองเงินสดออนไลน์ Starbucks หรือ Tesco Lotus มูลค่าสูงสุด 200 บาทต่อสิทธิ์ รับได้เลยทันที!
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิงก์นี้เลยค่า https://www.searchboliden.com/detail
2. เช็คคุณภาพยาง
การขับขี่จะปลอดภัยหรือไม่ ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับยางรถค่ะ จะเช็ครถต้องเช็คยาง ซึ่งหลักๆ แล้วจะต้องดูแลส่วนของยาง ดังนี้
- การเช็กลมยาง
ลมยางควรเช็คอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือถ้ารู้สึกว่าพวงมาลัยเริ่มหนัก รถเริ่มอืด อาจจะแปลว่าลมอ่อนเกินไปแล้ว เราควรรีบเติมค่ะ ไม่อย่างนั้นอาจจะส่งผลเสียกับยางได้ แถมกินน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยค่ะ
ถ้าถามว่าควรเติมเท่าไร ปกติแล้วรถทุกคันจะมีคู่มือบอกปริมาณอยู่ที่ประตูฝั่งคนขับ เราควรเติมปริมาณตามนั้น ไม่เติมให้แน่นเกิน เพราะอาจจะทำให้ยางระเบิดได้ค่ะ
- ดอกยาง
ปกติแล้วยางรถจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-4 หมื่นกิโลเมตร ถ้าใช้ไปนาน ๆ ดอกยางเสื่อมแล้วไม่เกาะถนนอาจจะเป็นอันตรายได้ค่ะ ยิ่งหน้าฝนต้องหมั่นเช็คยางนะคะ
ซึ่งวิธีเช็กคร่าว ๆ คือดูที่สะพานยาง หากดอกยางของเราอยู่ในระนาบเดียวกับสะพานยางแล้ว แปลว่าเราควรเปลี่ยนยางแล้วค่ะ ซึ่งส่วนนี้ไม่ต้องเช็คบ่อยก็ได้ ระยะประมาณ 15,000 กิโลเมตร เช็คสักครั้งก็พอค่ะ
3. เช็คของเหลวต่าง ๆ ให้พอเหมาะ
ของเหลวที่เราต้องเปลี่ยนถ่าย ต้องเช็คหลัก ๆ ได้แก่ น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ น้ำยาหม้อน้ำ ซึ่งจะให้เปลี่ยนเอง เช็ครถเอง อาจจะดูยุ่งยากไปสักหน่อยนะคะ แต่เราควรจะรู้ระยะที่ควรเปลี่ยน
- น้ำมันเครื่องจะมีระยะประมาณ 8,000-10,000 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับการใช้งานและน้ำมัน)
- น้ำมันเบรก น้ำมันเกียร์ และน้ำยาหม้อน้ำควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับการใช้งานและน้ำมัน)
ดังนั้น ในระยะ 1 ปี เราควรเอารถเข้าศูนย์เพื่อเช็คของเหลวประมาณ 2 ครั้ง ไม่ควรปล่อยให้ถึงขั้นวิกฤติ ของเหลวหมดเกลี้ยงเพราะอาจส่งผลกับเครื่องยนต์เราได้ หากของเหลวพร่องไปถึงระดับวิกฤต ก็จะมีสัญญาณเตือนที่หน้าปัดรถ เราควรหยุดขับและนำรถเข้าศูนย์ทันที
นอกจากนี้จะมีน้ำฉีดกระจก ที่เราสามารถเติมเองได้ประมาณเดือนละ 1 ครั้ง โดยช่องเติมจะอยู่ที่มุมล่างของกระโปรงรถเรา ซึ่งน้ำที่เอามาเติมเป็นแค่น้ำสะอาดธรรมดาก็พอค่ะ ไม่ควรผสมอย่างอื่น เพราะหัวฉีดอาจจะตันได้